ไม่พบผลการค้นหา
'พิธา' ชี้ รบ.ประยุทธ์ ไร้ประสิทธิภาพพาคนไทยลงเหวกับการแก้วิกฤตโควิด-19 ทำหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าขาดตลาด-ไม่เข้มงวดกักตัวนักท่องเที่ยว-ส.ส.-รมต.ให้เท่าเทียมหลังกลับต่างประเทศ ซัดปล่อยผู้เข้าข่ายติดเชื้อกักตัวที่บ้าน จี้รัฐเร่งให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจโควิด-19

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กถึงการบริหารงานในสถานการณ์วิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เกิดความล้มเหลวขึ้นอย่างเป็นระบบ มีความไร้ประสิทธิภาพซึ่งส่งต่อผลกระทบสัมพันธ์ถึงกันเป็นวงจร เช่นภายใต้การบริหารงานของกระทรวงพาณิชย์ ครั้งแรกผู้บริหารก็ยืนยันว่าสินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการ ต่อมาแม้จะมีคำสั่งออกมาจำนวนมากและการประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ห้ามการกักตุน รวมถึงการออกมาย้ำตลอดเวลาว่า “สินค้ามีเพียงพอ” แต่ในความเป็นจริงประชาชนรู้ว่าสินค้าเหล่านั้นยังคงขาดตลาด และราคาสูงขึ้นไป 10-20 เท่า โดยที่รัฐแทบจะควบคุมจัดการอะไรไม่ได้เลย

หันไปดูที่การบริหารงานของกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่แตกต่างกัน ครั้งแรกผู้บริหารกระทรวงก็บอกว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา จนถึงวันนี้ยังคงไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเข้ามาจากผู้ที่เดินทางเข้าออกประเทศได้อย่างอุ่นใจเพียงพอ ด้านความเข้มงวด การกักตัวกลับมีขึ้นเฉพาะผู้ไปใช้แรงงานผิดกฎหมายเท่านั้น ไม่ว่าสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส.ส. หรือรัฐมนตรีบางคน เมื่อกลับจากประเทศเสี่ยงกลับมีข้อยกเว้น ไม่ต้องปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายครั้งที่แนวนโยบายของกระทรวงเปลี่ยนไปมา จนประชาชนและบุคลากรทางการสาธารณสุขต่างสับสนและขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง

"ผมขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ผู้เป็นด่านหน้าของการป้องกันโรคระบาด หลายแห่งยังคงขาดหน้ากากอนามัย แต่กระทรวงยังคงยืนยันว่ามีเพียงพอและกระจายอย่างทั่วถึงแล้ว และมีกระแสข่าวว่ามีการกดดันให้ปิดปาก หากโรงพยาบาลใดบอกว่าขาดแคลน ผอ. จะโดนสอบสวน การกวาดความจริงไปซ่อนไว้ใต้พรมให้คนทำงานต้องไปแบกรับความเสี่ยงกันเองแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้ ทำให้นักฉวยโอกาส ถึงได้ย่ามใจและเติบโตขึ้นมาบนความทุกข์ร้อนของประชาชน การฉวยโอกาสกักตุนสินค้า ค้ากำไรส่วนต่างกันไปกันมาเป็นล่ำเป็นสัน สุดท้ายหลักฐานชัดๆ จึงได้หลุดออกมาสู่สาธารณะ ซึ่งวันนี้ภาพคงคมชัดพอบอกได้แล้วว่าเราเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร"

นายพิธา ระบุว่า ล่าสุดรัฐบาลประกาศยกเลิกศูนย์กักกันโควิด-19 จำนวน 232 แห่ง ทั่วประเทศ ปล่อยผู้เข้าข่ายติดเชื้อทุกคนกลับบ้านไปกักตัวเอง โดยเราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าแต่ละคนนั้นจะเข้มงวดในการกักกันตัวเองขนาดไหน จะทราบรายละเอียดข้อควรปฏิบัติขนาดไหน นี่คืออีกหนึ่งในตัวอย่างของความสับสนมึนงง ของการดำเนินการของภาครัฐ ซึ่งส่งผลอย่างมากกับประชาชนต่อความเข้าใจและความมั่นใจในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อสภาพการบริหารในสถานการณ์วิกฤติสับสน รัฐล้มเหลวจนไม่อาจควบคุมอะไรได้ จึงเป็นธรรมดาที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่นและพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาสิ่งของจำเป็นมาป้องกันตัวเองและคนที่รัก ขณะที่หุ้นไทยยังคงร่วงหนักต่อเนื่องมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ หยุดการซื้อขายชั่วคราว 2 วันติดต่อกัน 

นายพิธา เสนอการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ โดยการเข้าถึงบริการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเข้าทุกวัน แต่ค่าตรวจมีราคาสูงจึงทำให้คนเข้าถึงการตรวจได้น้อย ถ้าเทียบจำนวนกับประเทศอื่นๆ ไทยมีตัวเลขการส่งตรวจที่ต่ำมาก จึงทำให้ตัวเลขอย่างเป็นทางการประกาศว่าผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมีจำนวนดูน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ในตอนที่พบผู้ติดเชื้อกว่า 7,000 กรณี ในขณะนั้นพวกเขามีการตรวจไปทั้งหมดกว่า 200,000 รายแล้ว แต่ประเทศไทยยังตรวจเพียงไม่กี่พันรายเท่านั้น จึงทำให้ตัวเลขทางการของผู้ติดเชื้อมีไม่ถึงหนึ่งร้อย ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถจัดสรรให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยโรคได้มากกว่านี้ มีความเป็นไปได้ที่จะพบตัวเลขมากขึ้นกว่านี้มหาศาล ใช่หรือไม่

"ผมจึงอยากย้ำว่าประชาชนผู้มีอาการหรือใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง ต้องเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยโรค COVID-19 ได้มากกว่านี้ และทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่โปร่งใส แม่นยำ เชื่อถือได้"

นายพิธา ระบุว่าการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยมีตัวอย่างที่ดีจากหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ตัวอย่างจากสิงคโปร์ เขาแจกหน้ากากให้ประชาชนพร้อมทั้งมีการเขียนคำแนะนำว่าควรใช้เมื่อมีอาการป่วยเท่านั้น ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ผลที่ได้คือประชาชนอุ่นใจว่ามีหน้ากากให้ใช้เมื่อยามที่มีอาการป่วย และยังลดอุปสงค์ภาคประชาชนได้ ทำให้หน้ากากอนามัยมีเพียงพอต่อความต้องการทุกคน อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการเฉพาะหน้า ต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงได้รับเชื้อให้พวกเขาเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และด้วยความมั่นใจ รวมถึงการออกมาเคลียร์ปัญหาการกักตุนหน้ากาก การส่งออกต่างๆ ที่ขณะนี้แต่ละแหล่งข่าวยังให้ข้อมูลไม่ตรงกัน


ส่วนการกักตัวเพื่อดูอาการ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยไม่มีการปิดกั้นเที่ยวบินที่มีความเสี่ยงเลย รัฐบาลควรเริ่มมีกระบวนการจัดใช้มาตรการกักตัวอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติอะไร ไม่ว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมายหรือจะเป็น ส.ส. ผู้ทรงเกียรติ หากเดินทางมาจากพื้นที่แพร่ระบาดต้องใช้มาตรการเหมือนกัน จึงจะลบคำครหาได้ พร้อมเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนเพื่อพยุงตลาดหุ้น รวมทั้งใช้ทรัพยากรเดียวกันนี้มาสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการแพทย์ สร้างอุตสาหกรรมสาธารณสุข ให้มีความทันสมัย เป็นผู้นำของโลก เป็นอุตสาหกรรมบริการที่สอดคล้องกับ Competitive Advantage ของไทย 


"พวกเรากำลังเผชิญกับวิกฤติรอบด้าน วิกฤติที่แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่มีศักยภาพที่จะนำพาประเทศให้เดินต่อไปได้ ซ้ำยังจะพาคนทั้งชาติลงเหว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือ แต่หลายประเทศพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อใดที่พวกเขามีรัฐบาลที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ เมื่อใดที่รัฐบาลของพวกเขาจัดลำดับความสำคัญได้ถูกต้อง จัดคนไปทำได้ถูกงาน เมื่อนั้นประเทศจะก้าวผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้ด้วยดี"