นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานว่าในช่วง 4 เดือน แรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 363 ราย (เพิ่มขึ้น 43%) เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 87 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 276 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 57,860 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5%)
โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น จำนวน 71 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย มูลค่าการลงทุน 17,255 ล้านบาท เน้นลงทุนในธุรกิจจัดหาชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเล ระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการสถานี บริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
2. สหรัฐฯ จำนวน 51 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย มูลค่าการลงทุน 2,485 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการคลังสินค้า ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
3.สิงคโปร์ จำนวน 45 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย มูลค่าการลงทุน 9,126 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบ ตลอดจนการฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการปฏิบัติการของงานระบบควบคุมกำกับดูแลและเก็บข้อมูลสำหรับโครงการรถไฟฟ้า ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
4.จีน จำนวน 43 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย มูลค่าการลงทุน 6,471 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อค้าส่งในประเทศ ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
5.ฮ่องกง จำนวน 40 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย มูลค่าการลงทุน 5,766 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ Data Center Cloud Services และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 4 เดือนของปี 2568 มีจำนวน 108 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย (เพิ่มขึ้น 40%) มูลค่าการลงทุนรวม 31,363 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 32 ราย ลงทุน 10,008 ล้านบาท จีน 25 ราย ลงทุน 3,867 ล้านบาท สิงคโปร์ 10 ราย ลงทุน 5,934 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 41 ราย ลงทุน 11,554 ล้านบาท
ซึ่งธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแม่พิมพ์ (Mould) ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการเคลือบผิวผลิตภัณฑ์โลหะ เป็นต้น
“รัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมอนาคตทั้งในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎระเบียบ เร่งยกระดับบริการภาครัฐให้ทันสมัย และลดขั้นตอนการขออนุญาตด้านธุรกิจ
รัฐบาลขอยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทยทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และนโยบายที่ทันสมัย เพื่อรองรับการลงทุนคุณภาพจากทั่วโลก และย้ำว่าการขยายตัวของเม็ดเงินลงทุนในครั้งนี้คือสัญญาณแห่งความมั่นใจของโลกที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทยในระยะยาว“ นางสาวศศิกานต์ กล่าว