ไม่พบผลการค้นหา
แกนนำ นปช. ออกมาพูดในเวทีรำลึกเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. ปี 53 ยังคงย้ำว่าเสื้อแดงไม่ได้พ่ายแพ้ เดินหน้าร้องความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิต ชี้วาทกรรมชุดความเชื่อใส่ร้ายผู้ชุมนุม ยอมรับบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยความจริงจะไม่ถูกเปิดเผย

ที่ยูดีดีนิวส์ อาคารเอเวอรี่มอลล์ แยกแคราย จังหวัดนนทบุรี แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จัดรำลึกวาระ 10 ปี "เมษา-พฤษภา 53" นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช. นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานนปช. พร้อมด้วยนพ.เหวง โตจิราการ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. โดยมีมวลชนคนเสื้อแดงราว 50 คน รวมถึงนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ "จ่านิว" แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยเข้าร่วมงานด้วย

โดยช่วงเช้า มีการชมวีดีทัศน์ออนไลน์เกี่ยวกับ เหตุการณ์ "เมษา-พฤษภา 53" และสถานการณ์การเมืองที่เกี่ยวเนื่องในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายจะมีการกล่าวรำลึกวีรชนและปราศรัยโดยแกนนำ นปช. และมีพิธีสงฆ์ก่อนร่วมกันถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้วีรชนปี 2553 ในช่วงบ่าย

คนเสื้อแดงไม่ได้พ่ายแพ้

ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขบวนการประชาธิปไตยคนเสื้อแดง เหมือนคนแปลกหน้าในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเป็นชนชั้นรากหญ้าในชนบท เพราะก่อนหน้าเป็นนิสิตนักศึกษาและชนชั้นกลางในเมือง ที่ออกมาเป็นแกนหลักในการต่อสู้ประชาธิปไตย ซึ่งตนผูกติดกับเหตุการณ์ปี 2553 ตลอดมา ซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยความแค้นหรือจองล้างจองเวรฝ่ายตรงข้าม แต่ผูกติดกับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะแกนนำการชุมนุม ที่ยังต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้สูญเสีย ทั้งในทางการเมือง ทางสังคมและในทางกฎหมาย 

พร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงไม่ได้พ่ายแพ้ แม้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เพราะมาต่อสู้ทางการเมืองเพื่อเรียกร้องการเลือกตั้งภายใต้หลักการประชาธิปไตย ไม่ได้มาต่อสู้ทางการทหาร ที่สำคัญ มีคนรุ่นใหม่ที่ออกมาต่อสู้ในเรื่องเดียวกันที่คนเสื้อแดงได้ทำมา และคนเสื้อแดงยังยืนหยัดหลักการไม่เปลี่ยนแปลง

ประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง

นายวีระกานต์ กล่าวว่า นับแต่ก่อนปี 2500 เหตุการณ์ทางการเมืองซ้ำเดิม ไม่มีอะไรคืบหน้าหรือดีขึ้น ไม่ว่าจะรัฐประหารกี่ครั้ง เผด็จการอย่างไรก็เผด็จการอย่างนั้น ยุคนี้ยิ่งน่าอดสู ส่วนปี 2553 ทำให้รูปแบบการเมืองเปลี่ยนไปบ้าง แต่เนื้อหาของระบบไม่เปลี่ยน อย่างไรก็ตาม หากมองฝ่ายประชาชนจะเห็นว่า สำนึกประชาธิปไตยและการตระหนักในสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นจากปี 2553 มากที่สุด กระจายสู่รากหญ้าเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะการเติบโตขึ้นในด้านวุฒิภาวะทางการเมืองของประชาชน 

ทวงความยุติธรรม เปิดเผยความจริง

นางธิดา ย้ำถึง การ "ทวงความยุติธรรม เปิดเผยความจริง" ว่า เป็นภารกิจของผู้รักประชาธิปไตยโดยเฉพาะแกนนำการต่อสู้ แม้จะใช้เวลายาวนาน ซึ่งปี 2553 มีหลักฐานการใช้อาวุธสงครามเต็มรูปแบบในการปราบปรามประชาชน เหมือนการใช้กำลังทหารทำการสู้รบในเมือง ซึ่งฝ่ายทหารภาคภูมิใจ 

นางธิดา กล่าวด้วยว่า ชุดความเชื่อเกี่ยวกับเหตุการณ์ปี 2553 มีหลายชุด โดยเฉพาะที่เกิดจากวาทกรรมที่ผู้มีอำนาจใส่ร้่ายผู้ชุมนุม โดยให้ความเชื่อผิดๆอยู่เหนือความจริง ขณะที่ชุดความจริงมีชุดเดียว คือ การใช้ยุทธการทางทหารล้อมฆ่าประชาชน และถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีทางที่ความจริงจะถูกเปิดเผยและไม่มีทางได้รับความเป็นธรรม 

วาทกรรมแดงล้มเจ้า ยังฝังหัวคนไทย

นายก่อแก้ว ระบุว่า จากปี 2553 มีหลายอย่างเปลี่ยนไป ทั้งเวลาและเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงอดีตแกนนำ นปช.ที่แยกย้ายกันทำงาน และสนับสนุนแต่ละพรรคการเมืองในฝ่ายประชาธิปไตย และมีบางคนที่เปลี่ยนข้างไปอยู่พรรคแกนนำรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนชัดเจนที่สุดคือ ความยุติธรรมที่ยังดำรงอยู่รวมถึง วาทกรรม "เผาบ้านเผาเมือง" หรือ "แดงล้มเจ้า" ที่ผู้มีอำนาจใช้กล่าวหา ประชาชนยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง

นายก่อแก้ว กล่าวด้วยว่า แม้ไม่ได้ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม แต่น่าดีใจที่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า "เสื้อแดงฆ่าไม่มีวันตาย" และยังมีคนรุ่นใหม่ ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมและประชาธิปไตย พร้อมขอให้คนรุ่นใหม่ปลอดภัยในการต่อสู้ เพราะฝ่ายตรงข้ามมีวิชามารเยอะ 

'จ่านิว' ขอคนไทยอย่าลืมสลายเสื้อแดง

ส่วนนายสิรวิชญ์ ระบุว่า ความรุนแรงทางการเมืองที่ประชาชนถูกเข่นฆ่า เพียงเพราะออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยที่ผ่านมาหลายทุกครั้ง ถูกผู้มีอำนาจพยายามทำให้ลืม ดังนั้น ภารกิจของผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม คือ จะต้องทำให้คนไทยจดจำ ไม่ให้ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปี 2553 ที่มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และแม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนาน 20 -​ 30 ปี ในการนำตัวฆาตกรตัวเป็นมาลงโทษก็ต้องอดทนรอคอยพร้อมๆกับการทำให้สังคมไทยไม่ลืม อย่างที่หลายประเทศประสบความสำเร็จมาแล้ว

อ่านเพิ่มเติม