เมื่อเดินทางไปเยือนจังหวัดชายแดนใต้ และสอบถามคนท้องถิ่นว่า ควรจะแวะเยี่ยมเยือนสถานที่ใดบ้าง รายชื่อ ‘ร้านน้ำชา’ จำนวนมากถูกลิสต์มาให้เป็นหมุดหมายปลายทางสำคัญ เพราะร้านน้ำชาไม่ใช่แค่เป็นกิจการเท่านั้น แต่เป็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของประชากรส่วนมากในสามจังหวัด
การดื่มน้ำชาในวัฒนธรรมชาวมุสลิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน และเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน หากแต่วันนี้ ร้านน้ำชาหลายร้านในสามจังหวัดถูกปรับจากรูปแบบบ้านๆ ที่เปิดต้อนรับคนในชุมชนมานั่งพูดคุย มาเป็นสไตล์ทันสมัยขึ้น และมีเมนูหน้าตาสวยงาม หวือหวาเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ชอบถ่ายภาพ แชร์เหตุการณ์ต่างๆ ลงในโซเชียลมีเดีย แต่กระนั้นฟังก์ชันของร้านน้ำชาในจังหวัดชายแดนใต้ ก็ยังมีหัวใจเหมือนเดิม นั่นคือการเป็นสถานที่ๆ ผู้คนได้มาพบปะพูดคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ นั่งรับประทานของอร่อยด้วยกัน
“สามปีให้หลังนี่แหละ ฮิต” มะยาฮารี ยีกา ชายหนุ่มวัยกลางคน เจ้าของร้านน้ำชาที่รีดีไซน์แห่งแรกๆ ของเมืองปัตตานียืนยัน หลังจากโยนคำถามว่า มะยาฮารีเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร้านน้ำชาในจังหวัดชายแดนใต้อย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อไหร่
“วัยรุ่นกลับมาอยู่บ้านมากขึ้น บางคนก็เรียนในเมืองไม่ได้ออกไปไหน ร้านน้ำชาที่ทันสมัยขึ้นก็เป็นเทรนด์ที่ซึมซับมาจากเมืองหลวง หรือต่างประเทศ มาปรับแต่งร้านกันให้ดูเก๋”
‘ความทันสมัย’ สกัดนิยามมาจากความใหม่ขององค์ประกอบหลายสิ่งในร้านน้ำชา จากเดิมที่เป็นแค่เพิง หรือร้านเล็กๆ มีทีวีตั้งไว้ให้คนในชุมชนมาดูข่าว พูดคุย แลกเปลี่ยน กลับตกแต่งด้วยสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีเครื่องดื่ม และอาหารให้บริการมากกว่าชา กาแฟ โรตี ข้าวเกรียบกรือโป๊ะ และข้าวยำ มีการทำการตลาดผ่านโลกโซเชียล พร้อมด้วยมุมสวยๆ เอาไว้ให้ถ่ายรูปเช็กอิน ปักหมุดให้คนอื่นๆ ดั้นด้นมาตามรอยต่อ
“ใครมีเงินมากก็ทำให้ดูดี คนทั่วไปก็ทำแบบธรรมดาๆ” มะยาฮารีบอก
เมื่อราว 11 ปีที่แล้ว หลังจากตัดสินใจปิดร้านขายเครื่องหนังบนถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ มะยาฮารีกลับบ้านที่ปัตตานี พร้อมเริ่มต้นร้านน้ำชา ‘มากินมากัน’ (MAKIN MAKAN) ซึ่งชื่อร้านแปลเป็นภาษาไทยก็ได้ ภาษามลายูก็ดี เพราะคำว่า ‘มากัน’ แปลได้ว่า ‘กิน’ เช่นกัน ดังนั้น ชื่อร้านจึงเป็นเหมือนการเชิญชวนให้แขกผู้มาเยือน แวะมากินกันอีกเรื่อยๆ
แม้จะออกตัวว่าเป็นร้านน้ำชา แต่มะยาฮารีกับภรรยานำเสนอเมนูอาหารจานอิ่มที่หลากหลาย รวมถึงก๋วยเตี๋ยว ทว่าที่ได้รับความนิยมหนีไม่พ้นเบอร์เกอร์ และลาสซี หรือโยเกิร์ตปั่นสไตล์อินเดีย
มะยาฮารีท้าให้ชิมด้วยมั่นใจว่า ลาสซีของตนทั้งสด และหอมอร่อย เพราะทำเองไม่ได้ซื้อต่อจากแหล่งอื่น และนำมาปรับรสชาติเพิ่มเติมด้วยผลไม้สดๆ
‘มากินมากัน’ เปิดร้านตั้งแต่ 5 โมงเย็น เรื่อยยาวไปจนเที่ยงคืน ตั้งอยู่บนถนนเจริญประดิษฐ์ ถนนสายที่พลุ่กพล่านสุดของตัวเมืองปัตตานี ถ้าเป็นคนท้องถิ่นจะเรียกถนนสายนี้ว่า ‘ถนนสายมอ’ เพราะเป็นเส้นที่วิ่งตรงไปยังหน้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หากวิ่งรถมาจากวงเวียน ถนนหนองจิก ถนนสายหลักของเมือง
“ส่วนใหญ่ลูกค้าก็ทั้งผู้ใหญ่ แล้วก็เด็กวัยรุ่นนักศึกษา” มะยาฮารีเล่าต่อ พร้อมเสริมว่า ส่วนตัวเขาเป็นคนชอบสะสมและศึกษารถคลาสสิกรุ่นเก่าต่างๆ เห็นได้จากตัวร้าน ที่โครงสร้างหลักเป็นไม้ แต่มีการนำโครงรถเก่าหลายรุ่นมาประดับตกแต่ง และนำมาใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ
ความชอบดังกล่าวทำให้หลายครั้ง มะยาฮารีได้ต้อนรับคาราวานรถเก่าจากมาเลเซีย หรือจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนขบวนรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกจากกรุงเทพฯ ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่สมัยเขายังอยู่เมืองหลวง ภายหลังคนกลุ่มที่นิยมชมชอบสิ่งเดียวกัน ก็กลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของร้านด้วย บางที 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม ชาวรถคลาสสิกก็แวะเวียนมาเซอร์ไพรส์ก่อนปิดร้าน
“กลางคืนคนไทยก็จะไปเฮฮากัน ส่วนคนภาคใต้ก็คือมากินชากัน กินโรตีกัน มานั่งคุย มานั่งรีแล็กซ์”
ถนนสายมอ แสดงให้เห็นถึงความคึกคัก และการมีชีวิตอยู่ของเมืองปัตตานียามค่ำคืน แม้กระทั่งเวลา 4 ทุ่ม ร้านข้าว ตลาดนัด ร้านขายของมือสอง หรือร้านน้ำชา ก็ยังเปิดไฟให้บริการสว่างไสว คลอไปกับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของผู้คนที่สัญจรไปมา ลบภาพที่ใครหลายคนยังปักใจว่า เมืองปลายด้ามขวานในยามค่ำคืนมักจะหลับใหลด้วยความหวาดผวา
จริงอย่างที่มะยาฮารีว่า ร้านน้ำชาทันสมัยเพิ่มจำนวนขึ้นตามคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ที่หันมาประกอบธุรกิจของตัวเอง ตอบสนองวิถีชีวิตผู้คนที่เปลี่ยนไป
ห่างออกไปจากถนนสายมอราวสี่กิโล ตลอดเส้นถนนพูลสวัสดิ์ริมแม่น้ำปัตตานี เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ซึ่งเรียงรายด้วยความเก่า ความใหม่ ผสมกลมกลืน
อาซีซี ยีเจะแว สถาปนิกหนุ่ม และเพื่อนๆ เปิด ‘อินตออาฟ คาเฟ่ แอนด์ แกลเลอรี’ (In_t_af Café & Gallery) ขึ้นมาในย่านชุมชนคนจีน ถัดจากอินตออาฟคือ ‘มลายู ลีฟวิ่ง’ (Melayu Living) ออฟฟิศของกลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์แห่งปัตตานี ที่ใช้เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการ งานเสวนา มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
อินตออาฟคาเฟ่ รีโนเวตตึกเก่าที่มีตัวบ้านอยู่แค่ด้านหน้า โดยจัดวางเป็นบาร์เครื่องดื่ม และครัว ข้างหน้าเคาน์เตอร์ครัวเป็นพื้นไม้ยกสูงราวหนึ่งฟุต วางโต๊ะตัวเตี้ย และเบาะนั่งไว้รอผู้มาเยือน
ส่วนทางด้านหลังร้าน เมื่อทะลุตัวอาคารมา จะเป็นพื้นที่โล่งเทกรวดหิน และปลูกต้นไม้ ประดับไฟสีเหลืองนวลระเรื่อ ดูสบายตาในยามค่ำคืน กอปรกับลมเย็นๆ ของริมน้ำ ทำให้บรรดาวัยรุ่นในพื้นที่นิยมที่จะมานั่งเซลฟี พูดคุยกันในช่วงโพล้เพล้
8 ปีที่แล้ว อาซีซีกลับบ้านหลังเรียนจบเพื่อมาดูแลแม่ แต่โชคชะตาทำให้เขาอยู่ยาว และแม้จะมีโอกาสเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ อีกครั้งเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่เขาก็เหมือนนกนางแอ่น ที่พอถึงฤดู อย่างไรเสียก็ต้องกลับบ้าน เขากลับมารวมกลุ่มสถาปนิกเพื่อพัฒนาเมือง และขณะที่มองหาตึกแถวมาทำเป็นออฟฟิศ เขาตกหลุมรักตึกเก่าบนถนนพูลสวัสดิ์นี้ และจึงเกิดไอเดียถัดมาที่จะเปิดร้านคาเฟ่ หรืออันที่จริงจะเรียกว่าร้านน้ำชาก็ได้ อาซีซีไม่ขัด
“มันมีการนำเสนอบรรยากาศของร้านชามากขึ้น มันมีความหลากหลายของการนำเสนอ เช่น เจ้าของร้านเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เขาก็จะเอาหนังสือมาในร้านน้ำชา แล้วก็สามารถให้คนยืมไปอ่านได้ หรือบางคนก็ชอบกิจกรรม อีเวนต์ ก็มีบรรยากาศ เชิญนักเขียนคนโน้นเขามา เชิญกวี ศิลปินมา” เขาเล่าจากประสบการณ์ของตัวเองในการเริ่มต้นทำร้านน้ำชาเมื่อ 4 ปีก่อน จนว���นนี้ เขาเห็นร้านน้ำชาใหม่ๆ ที่มีความทันสมัย ผุดขึ้นมากมายตามถนนต่างๆ
“จริงๆ ความโมเดิร์นมันมีมาหลายๆ ยุคแหละ เราก็ผสมผสานไป ตอนที่ผมจะทำอินตออาฟคาเฟ่ ผมไปอ่านเรื่อง ‘วาบิ ซาบิ’ เรื่องการกินชา ความหมายของความงามของวัสดุ สัจจะของวัสดุ วัสดุที่ถูกฝนเซาะมันงามยังไง ผนังที่แบบเดิมๆ เลยที่ตะไคร่ขึ้น มันงามยังไง เราก็เลยนำเสนอคอนเซปต์แนวคิดแบบวาบิ ซาบิ นี้ขึ้นมา ให้คนปัตตานีได้รู้ หรือคนข้างนอกได้รู้ว่ามันมีความงามแบบนี้อยู่นะ” อาซีซีหมายถึงความงามของอาคารย่านเมืองเก่า ผ่านการปรับปรุงตึกที่เขาเลือกจะคงเหลือผนัง กำแพง โครงสร้าง สังกะสีผุพังไว้ในบางส่วน
ด้านของอาหาร เขานำเสนออาหารที่ไม่ใช่พื้นถิ่น แต่มีทั้งถุงทอง เปาะเปี๊ยะ ไข่กะทะ รวมถึงอาหารจานๆ แบบอิ่มท้อง ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลมาจากการใช้ชีวิตในเมืองหลวง และการเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ราคาขายก็ราว 30-60 บาท “เราซีเรียสเรื่องความซ้ำของที่อื่น เราจะขายโรตี กรือโป๊ะ ข้าวยำ เหมือนที่อื่นหรือ? มันจะทำให้เขาเดือดร้อนไหม งั้นเราเอาที่แปลกใหม่ดีกว่า”
อาจจะเพราะทิวทัศน์ที่ร่มรื่นและสวยงาม เวลาเปิดตั้งแต่บ่าย 3 จนถึง 4 ทุ่ม ทำให้ผู้คนสามารถมานั่งพูดคุยชมพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างเต็มตา ลูกค้าของอินตออาฟจึงมีทุกเพศทุกวัย ทุกศาสนา ตั้งแต่คนทำงาน เด็กมัธยม ตลอดจนนักศึกษา ที่แวะมาหลังเลิกเรียน หรือกลุ่มครอบครัว ที่แวะมาช่วงหัวค่ำ 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม ภายหลังจากที่พวกเขาละหมาดเสร็จ
ไม่ห่างไกลจากอินตออาฟนัก ในย่านเมืองเก่าของปัตตานี ที่ๆ ถนนสามสาย อาเนาะรู-ปัตตานีภิรมย์ และฤๅดี เชื่อมต่อกัน หากกล่าวง่ายๆ นี่คือชุมชนชาวจีนตั้งแต่โบราณ ขณะที่ปัจจุบัน ยังจางเจือด้วยกลิ่นอายความรุ่งเรืองของถนนเศรษฐกิจสายสำคัญนับแต่อดีต
ณ ถนนอาเนาะรู เป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญ อันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างต้องแวะเวียนมาขอพร ร่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเคยเป็นที่ตั้งของตลาดเก่าใจกลางเมืองปัตตานี บัดนี้อาเนาะรูถูกคืนชีวิตอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง ผ่านการรีโนเวตให้กลายเป็นไชน่าทาวน์ ปัตตานี ถนนคนเดินที่ให้พ่อค้า แม่ขาย มาเปิดท้ายทั้งของเก่าและใหม่ในทุกอังคาร-พุธ ตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม
ก่อนหน้านี้ ย่านนี้เงียบเหงาไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ตลอดจนประชากรที่ย้ายออกไป แต่หากมาเยือนอาเนาะรูไม่ว่าจะกลางวันหรือคืนค่ำ ก็จะเจออาคารชั้นเดียว ที่มีกรอบประตูหน้าต่างสีแดง เปิดอ้ารอต้อนรับ ให้นั่งพัก
“ที่ผมตั้งใจมาเปิดตรงนี้ เพราะผมชอบประวัติในชุมชนตรงนี้อยู่แล้วโดยส่วนตัว ตอนกลางวันคนที่อยู่เส้นนี้เขาไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน พอผมเปิดร้านมันก็เหมือนประตูชุมชน พอใครต้องการทราบประวัติทราบเรื่องราว เขาก็จะมาที่ร้านนี้ พอมาร้านนี้ เราก็คุยกับบ้านโน้นบ้านนี้ให้ได้ สามารถให้ข้อมูลได้ในบางส่วน” ชูโชค เลิศลาภลักขณา หนุ่มไทยเชื้อสายจีนวัยกลางคน เจ้าของ ‘โรงเตี๊ยมอาเนาะรู’ และร้านน้ำชา ‘อ้งเฉี้ยง’ เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นตลาดในสมัยก่อน จากนั้นตลาดก็ค่อยๆ เคลื่อนไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าโต้รุ่ง” เขาชี้ไปยังเบื้องหน้า โรงเตี๊ยมอาเนาะรู และร้านน้ำชาเอ้งเฉี้ยง เป็นอาคารเก่าแก่สองหลังติดกัน ที่เขาหาทำเลจากความตั้งใจที่อยากจะนำเสนออัตลักษณ์ความเป็นจีน สังเกตได้จากการตกแต่งร้านจากข้าวของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่มากมาย ที่เขาเองก็จำได้บ้างไม่ได้ว่าได้มาจากไหนบ้าง ทั้งตุ๊กตากระเบื้องจีนในตู้โชว์หลังบาร์น้ำ ภาพขาว-ดำเก่าๆ ที่ใส่กรอบไม้ใหม่ ชูโชคอธิบายแต่ละภาพที่เขาขอมาจากคนในครอบครัวบ้าง คนแถวนี้บ้างด้วยรอยยิ้มติดที่มุมปาก และแววตาเปี่ยมความทรงจำ
“รูปนี้จะเป็นรูปเกี่ยวกับงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ถนนสายนี้มันเป็นเส้นสายวัฒนธรรม ความศรัทธา บางรูปก็รูปพ่อผมบ้าง คนรู้จักบ้าง เอามาติดเพื่อให้คนรุ่นหลังเขาได้ดูกัน”
อีกฝั่งของกำแพงตรงข้ามกันในร้านน้ำชา คือป้ายภาษาจีนขนาดใหญ่อายุกว่า 100 ปี ที่ชูโชคบอกว่าขอมาจาก ‘ยายเล็ก’ เจ้าของร้านขายของชำแห่งแรกในปัตตานีที่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว มันเป็นภาษาจีนฮกเกี๊ยน อ่านว่า ‘เอ้งเฉี้ยง’ ซึ่งก็คือชื่อร้าน แปลว่าร้านชำตรงตามตัว
“ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ก็มีคนเตือนว่า ถนนเส้นนี้รถไม่ผ่าน ไม่มีคนหรอก แต่เรามองเรื่องที่จอดรถเป็นหลัก ตรงนี้ไม่มีร้านค้าก็เลยทำ”
ในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่อย่างจังหวัดปัตตานี การดำรงอยู่ของร้านน้ำชาคนจีนนั้น ต้องอาศัยทั้งแรงกายและแรงใจอย่างมาก แม้ชูโชคจะบอกว่า ปัจจุบันร้านค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว จำนวนลูกค้าก็เรื่อยๆ แต่ช่วงเปิดร้านก็ทำเอาคิดไม่ตกไปหลายตลบอยู่เหมือนกัน
“ช่วงเปิดร้านใหม่ๆ เกิดลูกค้าน้อยขึ้นมา ก็จะเป็นคำถามก่อนนอนเราแล้วว่า ทำไม เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงน้อย ไอ้ตรงนี้ก็ทำให้เราดัดแปลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้เราอยู่รอดได้ ถ้าเราไม่ดัดแปลงมันก็ลำบากเหมือนกัน”
จากวันนั้น จนวันนี้ เข้าปีที่ 4 แล้ว ชูโชคบอกว่า ร้านก็มีลูกค้าเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ที่มานั่งทุกคืนจะเป็นลูกค้าประจำคนเชื้อสายจีนในพื้นที่ ส่วนลูกค้านอกพื้นที่ก็จะเป็นคนในสามจังหวัด บางทีก็มาเป็นคาราวานรถเก่าจากยะลาบ้าง หรือต่างประเทศใกล้ๆ บ้าง
“ลูกค้าที่เขารู้จักเราทางต่างจังหวัดก็เยอะ เพราะเราใช้สื่อโซเชียลเป็นหลัก ผมตั้งใจทำร้านให้คนมาถ่ายรูปได้ด้วย ส่วนตัวผมชอบ จบสถาปัตย์ฯมาอยู่แล้ว”
“เราก็ขายมาตั้งแต่ช่วงเช้า 6 โมงครึ่งจนถึงบ่ายโมงก็เป็นข้าวมันไก่ พอ 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม ก็ขายติ่มซำแล้วก็ร้านน้ำชา คึกคักในช่วง 2 ทุ่ม ร้านน้ำชาผมก็แยกร้านออกมาจากร้านอาหาร คนมุสลิมจะได้มานั่งได้ เพื่อนมุสลิมก็แวะมานั่งอยู่ เราทำก็เพื่อความอยู่รอดของเรา เพราะเราจะรับแต่ไทยพุทธอย่างเดียวก็ไม่ได้
“แต่ลูกค้าก็ยังเป็นคนเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ เขาเหมือนกับชอบบรรยากาศ มานั่งคุยกัน พูดเรื่องเก่าๆ สมัยก่อน ช่วงเทศกาลงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ผมไม่ได้นั่งเลย คนในพื้นที่ไปทำงานต่างจังหวัด เขาก็จะมารวมที่นี่ มาเจอเพื่อนเก่าๆ มาพูดคุย”
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ ในพื้นที่ ผู้คนในปัตตานียังออกไปไหนมาไหนยามค่ำคืนเป็นกิจวัตร จากการสอบถามคนท้องถิ่น 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม แถวถนนสายมอยังคึกครื้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลถือศีลอด ที่ชาวมุสลิมจะรับประทานอาหารได้ในช่วงกลางคืนเท่านั้น ทำให้แม้จะ 5 ทุ่มเที่ยงคืนแล้ว ผู้คนก็ยังสัญจรกันทั่วเมือง
“เพิ่งกลับมาอยู่ปัตตานีได้ 2 ปี แต่ถ้าเทียบกับสมัยที่เรียนอยู่ ร้านน้ำชาโผล่มาเยอะมาก เหมือนเป็นสินค้าหรือร้านอาหารที่ขายดีที่สุดในพวกวัยรุ่น ส่วนความนิยมอยู่ที่ว่า อร่อยไหม ปกติคนก็จะไปลองทุกร้านแหละ” ศุภรดา เดชาภัทรกิติกุล สาวออฟฟิศในเมืองปัตตานีบอกเล่าให้ฟังในฐานะลูกค้าที่ตระเวนนั่งร้านน้ำชาทั่วเมือง
“แทบจะไม่เห็นร้านใหม่ๆ ประเภทอื่น การค้าขายที่นี่บวกกับเหตุการณ์ มันทำให้แย่ไปหมด แบบนี้เขาก็ไม่ได้ลงทุนมากก็เปิดได้”
ศุภรดาบอกว่า ปกติเธอมาร้านน้ำชากับเพื่อนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ส่วนใหญ่หลังเลิกงาน มานั่งสนทนา ผ่อนคลายจากความเครียดของการทำงาน และถ้าจะนัดเจอกันกับเพื่อน ก็ชวนกันมาร้านน้ำชา เพราะเป็นที่ๆ คุ้นเคยและดีที่สุดในการพบปะกัน
“คือถ้าระเบิดมันอยู่แค่ที่ๆ นั้น เราก็รู้ว่ามีแค่นั้น คนเขาก็ระวัง แต่มันก็ต้องใช้ชีวิตเนอะ คนที่ได้ฟังข่าวจะกลัว แต่เราเป็นคนพื้นที่ ก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว จะให้กลัวอะไรอีก”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง