Voice TV สัมภาษณ์ 'เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล' อดีตประธานสภานิสิต จุฬาฯ ซึ่งอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งของทางมหาวิทยาลัยที่ลงโทษตัดคะแนนจนส่งผลให้เขาพ้นจากเก้าอี้ประธานสภานิสิต แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘เนติวิทย์’ ถูกยึดอำนาจ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นประธานสภานักเรียนสมัยอยู่มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 เขาก็ถูกยึดอำนาจหลังรับตำแหน่งไม่กี่วันเช่นกัน
ในปีนี้ ‘เนติวิทย์’ ยังเป็น 1 ใน 10 บุคคลแห่งปีของ Voice TV ด้วย
-ปีแห่งการได้รับตำแหน่งและถูกยึดอำนาจ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก ยังหวังจะได้รับโหวตตำแหน่งอะไรในอนาคตอีกหรือไม่
ผมคิดว่าครั้งนี้ก็เป็นการพิสูจน์อำนาจของกลุ่มคนที่มีความใจแคบ คิดว่าตัวเอง ‘ถูก’ และเชื่อว่าคนอื่นๆ ที่มีความคิดแตกต่างตัวเอง ‘ผิด’ ผมมองว่าตัวเราเองได้พิสูจน์ให้เห็นว่ายังมีกลุ่มคนเหล่านี้อยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางวิชาการที่ดีที่สุดของประเทศก็ตาม
แต่ว่าอย่างไรก็ดี ผมมองว่าตอนนี้กระแสของคนรุ่นใหม่มาแรงมากและมีเพื่อนๆ จำนวนมากมาให้กำลังใจ ซึ่งผมก็มีงานอีกเยอะที่จะทำ
สิ่งที่ผมทำก็รู้สึกดีใจที่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ด้วย ในการเข้ามาฟอร์มทีมตั้งพรรคเล่นการเมืองในมหาวิทยาลัย ทำให้มหาวิทยาลัยตัวเองดีขึ้น
ผมเชื่อว่าถ้าผมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าที่ไหน ผมน่าจะมีโอกาสอีก และผมยังเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้งอยู่
-ตำแหน่งที่จะลงเลือกตั้งในอนาคต มีอะไรบ้าง
ถ้าเป็นไปได้ผมก็อาจจะต้องกลับมาในคณะตัวเอง บางทีเราอาจจะทำส่วนกลางได้ลำบาก ผมคิดว่าการเมืองในระดับท้องถิ่นที่ใกล้ตัวกว่า เราน่าจะสัมผัสได้ดีกว่าและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า มีแรงสนับสนุนมากกว่า แต่นี่ก็เป็นเรื่องอนาคตเพราะตอนนี้ผมถูกตัดคะแนนอยู่ 25 คะแนน การถูกตัดคะแนนครั้งนี้ ผมแทบจะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งใดๆ ได้เลย
-ความเป็นไปได้ที่จะลงเลือกตั้งในระดับคณะ ขณะที่ยังถูกตัดคะแนน
ตอนนี้อยู่ในขั้นอุทธรณ์ ผมคิดว่าเพื่อความเป็นธรรม ผมก็น่าจะได้รับโอกาส แต่ว่าอย่างไรก็ตามเรื่องนี้เราก็จะดำเนินไปให้ถึงที่สุด และถึงแม้ผลอุทธรณ์ไม่ผ่าน ผมก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี ผมพยายามจะคุยกับทางสโมสรคณะรัฐศาสตร์มากขึ้น ในการเสนอเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ผมอาจจะไม่สามารถทำงานได้ แต่คนที่มีเจตนาดี สุดท้ายแล้วก็ต้องมีพื้นที่ให้เขาได้ทำ ถึงจะไม่ใช่ส่วนกลาง หรือไม่ใช่ในคณะ แต่ก็ต้องมีสักแห่งหนึ่ง
-ขณะที่คนรุ่นใหม่อย่าง โจชัว หว่อง, ไผ่ ดาวดิน รวมถึง ‘เนติวิทย์’ ก็ถูกลงโทษ มองว่าคนรุ่นใหม่จะยังเป็นผู้กำหนดอนาคตอยู่ไหม
ต้องกำหนดอนาคตอยู่ดี คนรุ่นที่ปกครองประเทศตอนนี้ก็ห่างวัยกับพวกเรามาก คือคนรุ่น 50-60 หรือ 70 และ สนช.บางคนอายุ 90 ก็มี ผมคิดว่าอีก 20 ปี ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว และผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงตอนนี้เกิดขึ้นอย่างเร็วมาก บางทีเราคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ปรากฏว่าเป็นอีกอย่าง
ดังนั้น ผมเชื่อว่าเรามีโอกาสที่จะกำหนดอนาคต และยังไงเราก็ต้องกำหนดอนาคต เพราะอีก 20 ปี คนรุ่นพวกเราก็ต้องขึ้นมารับผิดชอบ แล้วตอนนั้นเราก็จะเผชิญปัญหาที่ผู้ใหญ่ได้ทำทิ้งไว้กับพวกเรา เราต้องมาเคลียร์
ผมจะเดินทางไปหาโจชัว หว่อง เพราะทำหนังสือวันเกิดให้เขา โจชัว หว่อง เป็นไอดอลผมคนหนึ่ง เขาอายุน้อยกว่าผมเพียง 1 เดือน เป็นคนมีจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นมากและเขาพยายามเชื่อมต่อทั้งโลกด้วย ผมถือว่าหายากมาก ดังนั้น เราเองต้องพยายามทำให้ไฟตรงนี้ยังอยู่ ต้องทำให้คนอย่างเขาได้รับการรับรู้มากขึ้นในสังคมไทย และแน่นอนจะจุดประกายคน เด็กไทยมีจำนวนมากหลายแสนหลายล้านคน ไม่แน่ว่า โจชัว หว่อง อาจจะจุดพลังให้อีกหลายๆ คนก็ได้
แล้วหลายๆ คนไม่จำเป็นต้องเป็นคนจำนวนมาก ก็จะเริ่มกล้าพูดกล้าเปลี่ยนแปลง แล้วจะเป็นไฟลามทุ่งต่อ ดังนั้น ธันวาคมนี้ ผมจะเดินทางไปหาโจชัวหว่อง ถ้าเขาไม่ติดคุกซะก่อน เพราะเดี๋ยวจะมีวันที่เขาต้องไปขึ้นศาลอีกครั้งหนึ่ง
ส่วน ‘ไผ่ ดาวดิน’ ผมจะหาโอกาสไปเยี่ยม เพราะหลังจากเขาโดนจับ 3-4 เดือน ผมทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ เขียนโปสการ์ดถึงเขา มีคนเขียนข้อความถึงเขา 500 ใบ ก็ยังหาโอกาสจะไปมอบให้เขา
-คนรุ่นใหม่มีอยู่ในทุกอุดมการณ์ไม่เฉพาะประชาธิปไตย มองอย่างไรฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็มีคนรุ่นใหม่ขึ้นมาด้วย
เป็นเรื่องที่คนหัวก้าวหน้าจะต้องทบทวน เพราะ 3 ปีมานี้ เราได้เห็นพลังอนุรักษ์นิยมกลับมา ดังนั้น คนหัวก้าวหน้า ต้องไม่ฝากความหวังไว้เฉพาะเนติวิทย์ หรือ เพนกวิ้น หรือคนรุ่นใหม่คนอื่นๆ เราต้องคิดทบทวนทำไม 3 ปี เราจึงกลับมาอยู่กับคนมีอำนาจที่พูดจาเหยียดหยามคน เหยียดหยามแม้กระทั่งคนที่เรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ทำไมเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ เราต้องทบทวน อย่าฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่อย่างเดียว ต้องฝากความหวังไว้กับตัวเองที่จะปูทางให้คนรุ่นใหม่ได้อย่างไร แล้วทุกคนก็สามารถเป็นคนรุ่นใหม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เพียงช่วงวัย 17-18 ปี เท่านั้น ทุกคนสามารถเป็นพลังได้
–กรณีนักเรียนเตรียมทหารและครอบครัว ถูกกระทำจากคนที่มีอุดมการณ์ฝ่ายเดียวกัน คิดว่าจะนำไปสู่อะไร
ผมว่าครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญมาก ที่ฝ่ายเชียร์ทหารได้กลับมาคิดอีกครั้งหนึ่งว่า ระบบทหารแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ อาจจะทำอันตรายต่อลูกหลานเขา ผมว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ ที่จะทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนได้เข้าไปอยู่ในหลักสูตรโรงเรียนทหารด้วย
ผมเห็นว่าประเด็นหลายๆ เรื่องของฝ่ายหัวก้าวหน้าก็ดี ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ดี เรามีหลายอย่างที่สามารถจะสู้ร่วมกันได้ ผมเชื่อว่าอนุรักษ์นิยมกับหัวก้าวหน้า ไม่จำเป็นว่าจะต้องไม่เห็นด้วยกันหมด เราสามารถที่จะต่อสู้ร่วมกันบางเรื่องได้ เพื่อให้สังคมดีขึ้น
ไม่ใช่เราจะมาเหยียดหยามกันอย่างเดียว ผมยังเชื่อเสมอว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ จะต้องมีการพูดคุยกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต่างอุดมการณ์ก็ต้องหาโอกาส ที่จะคุยกันให้ได้เหมือนกัน
อนุรักษ์นิยมปัจจุบันนี้ ที่เชื่อว่าอยากจะอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ก็ไม่ใช่คนแบบดึกดำบรรพ์ อาจจะมีแบบดึกดำบรรพ์ แต่ก็เปลี่ยนไปเยอะแล้วเหมือนกัน ผมว่าเราต้องสนทนากันให้ได้ และถกเถียงกัน
-ครม.ประกาศสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ แต่ปฏิบัติกับประชาชนอย่างสวนทางกัน อยากบอกรัฐบาล คสช.ว่าอะไร
ไม่สามารถบอกอะไรได้มากนอกจาก คสช. ต้องคืนประชาธิปไตยและถ้ายังอยู่ในอำนาจอีกนานไปเรื่อยๆ รัฐบาล คสช. จะทำลายความเชื่อถือของทหารทั้งหมด และทหารจะถูกมองในแง่ลบมาก ต่อไปนี้เวลาเห็นทหารก็จะนึกถึงผู้นำบางคน ทั้งที่อาจจะไม่ใช่ทหารทั้งหมด และต่อไปนี้ความเกลียดชังของคนจะสูงขึ้น เพราะการจัดการเรื่องสิทธิมนุษยชน สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านเทพาค่อนข้างชัดเจนว่า ถ้ายังอยู่แบบนี้ กองทัพจะเสียและไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป
-วัฒนธรรมแบบทหารจะไปกันกับหลักการสิทธิมนุษยชนได้อย่างไร
จริงๆ ก็ไปกันได้ ในต่างประเทศก็มีการปรับตัว แต่ประเทศไทยไม่มีการปรับตัว และผู้มีอำนาจก็ได้แต่ขอโทษ พอขอโทษบ่อยๆ คนก็เริ่มเห็นว่าการขอโทษไม่ได้มาจากความจริงใจหรือการเรียนรู้ มีแต่เพียงการใช้อำนาจอย่างเดียว
ดังนั้น คนก็ไม่พอใจ รวมถึงกรณีบอกว่า ตนเองเคยโดนซ่อมสลบแต่ไม่ตาย เป็นการสร้างความไม่พอใจในหมู่คนรุ่นใหม่ หรือแม้กระทั่งคนในวัยเดียวกับเขาหลายๆ คนก็ไม่พอใจ
ทำให้เห็นว่าโรงเรียนทหารมีปัญหาเยอะแยะ คือคนเหล่านี้อาจจะเห็นว่าวิธีคิดของตัวเองโอเค แล้วพอมาพูดออกสื่อสารมวลชน สังคมไม่ได้โอเค คือคุณอยู่ในโลกยุคอะนาล็อคไกลโพ้น แล้วคุณไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณพูดคืออะไร อันนี้เป็นปัญหา แล้วคนก็จะเหมารวมได้ ซึ่งจะเป็นปัญหากับกองทัพในอนาคต ฉะนั้น ผมจึงขอเรียกร้องอย่างเดียว คสช. ต้องกลับบ้าน กลับบ้านเร็วที่สุด ไม่มีทางอื่นแล้ว ยิ่งอยู่นานผมว่าจะยิ่งเสีย มันแก้ไม่ได้แล้ว ยิ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ค่อนข้างเห็นชัดเจนเลย
ส่วนสถาบันการศึกษา อาจจะต้องปรับให้พลเรือนเข้าไปเรียนร่วมด้วยหรือให้นักเรียนเตรียมทหารมาเรียนกับมหาวิทยาลัย ทำอย่างไรให้กลมกลืนกันให้คนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน เพราะหลายๆ คนก็ดูถูกทหาร หรือทหารบางคนดูถูกประชาชนว่าตัวเองรักชาติมากกว่า ทำอย่างไรไม่ต้องดูถูกกัน ต้องให้เกิดความกลมกลืนกันให้รู้สึกว่าเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนกัน ซึ่งยังไม่มีแบบนี้ มีแต่ว่าอยู่สูงกว่าแล้วสั่ง แล้วพลเรือนก็กลัว แต่พลเรือนไม่ได้กลัวตลอดไปนะ พลเรือนเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ นอกจากนั้นโลกาภิวัฒน์ก็ทำให้การติดยึดเรื่องดินแดนอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้วเหมือนกัน จะทำอย่างไรตรงนี้ ผมว่ากองทัพเองก็ต้องคิดดีๆ
-ตลอดปีที่ผ่านมา ‘เนติวิทย์’ เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากอีกด้านหนึ่งของแนวคิดการรักษาเกียรติภูมิสถาบันการศึกษา
หลายๆ คนก็โจมตีผมว่าผมทำลายเกียรติภูมิจุฬาฯ เหมือนกัน คล้ายๆ กรณีเตรียมทหาร แต่นั่นแหละเราจำเป็นต้องเข้าใจ จริงๆ ผมก็เจอแบบนี้ตั้งแต่เรียนหนังสือ เหมือนเราเป็นหนี้บุญคุณของโรงเรียนของระบบการศึกษา แต่เราลืมไปว่ามหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน ถ้าไม่มีมนุษย์อยู่ก็ไม่สามารถอยู่ได้ ไม่ใช่เรามาเรียนแล้วเป็นทาสเขา
ผมถามจริง มหาวิทยาลัยหรือเกียรติภูมิจะมีอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีคนสร้างขึ้น ถ้าไม่มีการปรับตัวเรียนรู้ก็อยู่ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผมเจอ คือ หลายคนก็ยังมีความคิดเหมือนสมัยอยู่โรงเรียน ทำยังไงให้ได้คะแนน ก็ต้องพูดแบบนี้ ไม่พูดอีกแบบหนึ่ง
อย่างผมก็จะถูกมองว่าไม่ใช่พวก เป็นพวกแปลกแยก ผมก็ยังเจอแบบนี้อยู่ในมหาวิทยาลัย แต่ผมก็รู้สึกว่าดีขึ้นเยอะ เพราะนอกจากจะมีคนมองว่าเราแปลกแยกแล้ว ก็ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่รู้สึกไม่พอใจมหาวิทยาลัยและตาสว่างขึ้นมาเยอะว่ามหาวิทยาลัยของเราปัญหาภายในแย่ขนาดไหน การที่มหาวิทยาลัยมาเล่นงานผมทำให้เขาเริ่มเห็น เมื่อก่อนเขาเห็นมหาวิทยาลัยเป็นเหมือนเทวดา เป็นผู้ใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เริ่มเห็นว่านี่ก็คือมนุษย์เหมือนกัน เขาก็เริ่มไม่กลัวกัน แล้วก็เริ่มจะท้าทาย มันก็มี 2 มุม
- มองโซเชียลไทยกำลังจะมูฟไปทางไหน ทั้งโซเชียลที่หมายถึงสังคมและหมายถึงพลังโซเชียลมีเดีย
ผมว่าสังคมไทยมีโอกาสจะเดินไปสู่ความรุนแรง ผมไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้เต็มที่ ตราบใดที่เรายังไม่มีขบวนการที่เข้มแข็ง ต้องยอมรับว่าขบวนการของนักกิจกรรมยังไม่เข้มแข็ง การประสานงานต่างๆ ยังไม่ดี แล้วถ้ามีการเลือกตั้งขึ้นมา นอกจากรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาแล้ว ความเข้มแข็งทางอุดมการณ์ต่างๆ ก็ไม่มี ผมว่าเราจำเป็นต้องเริ่มมาคิดกันแล้วตอนนี้ว่า ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง เราจะทำยังไง ซึ่งเรายังไม่คิดกันเท่าไหร่
ปัญหาความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ การสรรหาต่างๆ อาจจะถูกมองว่าเป็นอุปสรรค แต่เราจำเป็นต้องล้มมันอย่างเดียวหรือเปล่า จะมีทางออกอะไรไหมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ คือตอนนี้คนในสังคมรู้สึกสิ้นหวังและหดหู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เราจะใช้ยังไงให้ฝ่ายก้าวหน้าได้มีพื้นที่มากขึ้น ผมว่าเราต้องเอาหลายศาสตร์มาผสมกัน ตอนผมทำสภานิสิตต้องยอมรับว่าเพื่อนคณะนิเทศศาสตร์ช่วยเยอะมาก ทำยังไงให้ขบวนการคนรุ่นใหม่ ไม่ได้เป็นขบวนการแบบด้านเดียว แต่เป็นขบวนการที่โอบล้อมคนทั้งสังคม ซึ่งเป็นเรื่องของทุกเพศทุกวัย เป็นอนาคตของทุกคน