ไม่พบผลการค้นหา
'โย่ง อาร์มแชร์' เล่าความน่ารัก 'ส้มหยุด' แมวที่เปรียบได้กับลูกชายคนล่าสุด "อ้อนแม่จนพ่ออิจฉา" เผยปมในใจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ย้ำน้องคือสมาชิกในครอบครัว ถ้าไม่พร้อมเข้าใจนิสัยอย่าเลี้ยง

โย่ง - อนุสรณ์ มณีเทศ นักร้องนำวงอาร์มแชร์ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว วอยซ์ออนไลน์ พร้อมกับลูกชายคนล่าสุด ‘ส้มหยุด’ หรือแมวส้ม วัยหนึ่งเดือน ที่ตนเก็บมาได้จากบริเวณตอม่อย่านเกษตร-นวมินทร์

โย่งเล่าให้ฟังว่าครั้งแรกที่เจอกัน ตนกำลังขับรถอยู่ที่ย่านนั้น ปกติเวลาขับรถจะต้องดูเส้นบนพื้นถนนอยู่แล้ว แต่วันนั้นได้เห็นลูกแมวที่วิ่งสวนทางรถ รู้สึกได้ว่าสบสายตากัน เลยรีบเหยียบเบรก แต่ด้วยความที่รถบนถนนวิ่งเร็ว ก็เลยวนกลับรถมาอีกรอบ

พอกลับมาถึงก็เจอแมวตัวนั้นกำลังเดินย้อนกลับ โชคดีที่เขาไม่ข้ามถนน หรือไปตกท่อน้ำซึ่งอันตรายมาก พอถึงตรงนั้นก็จอดรถ แล้วเดินไปหา ตอนนั้นตนเองกลัวว่าแมวจะตกใจ แต่แมวตัวนั้นกลับนิ่ง แล้วก็ไม่วิ่งหนี เหมือนรู้ว่าตนกำลังจะเข้าไปช่วย ทำให้ตัวเองเข้าไปจับแมวได้ ตนประทับใจมาก แต่ก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังหอบ เพราะอากาศที่ร้อนจัด จึงรีบพาเข้ามาในรถที่อากาศเย็นกว่า แล้วให้น้ำกิน ถือเป็นเหตุการณ์แรกที่เจอกัน

หลังจากนั้นจึงพาไปอาบน้ำ หาหมอ ตรวจสุขภาพ รักษาโรคบิด เห็บหมัด และตัดสินใจรับเลี้ยง รวมถึงเปิดให้แฟนคลับช่วยกันตั้งชื่อ จนได้ชื่อว่า ‘น้องส้มหยุด’ อีกทั้งยังเปิดเฟซบุ๊ก ‘ส้มหยุด แมวตอม่อ ลูกพ่อโย่ง’ และอินสตาแกรม ‘Somyoodthecat’ ให้คนที่ชื่นชอบได้ติดตาม โดยมี ก้อย - วลัยลักษณ์ นักร้องนำวง Saturday Seiko ภรรยาของตนเป็นแอดมิน

โย่งยอมรับว่าตัวเองก็ถือเป็น Cat Person หรือคนที่รักแมวคนหนึ่ง ที่บ้านเลี้ยงแมวอยู่แล้ว 2 ตัว คือ Sixteen อายุ 17 ปี และ TuTu อายุ 16 ปี ตั้งชื่อตามวันที่รับมาเลี้ยง คือ 16 และ 22 ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นแมวหาบ้านที่เจ้าของไม่รับเลี้ยงเนื่องจาก Sixteen เป็นแมวสีดำ แล้วเจ้าของถือเรื่องนี้ ส่วน TuTu ถูกทิ้งไว้ที่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ โดยทั้งคู่เป็นแมวเปอร์เซียเพศเมีย

ส่วนเจ้า ‘ส้มหยุด’ เป็นแมวไทยตัวแรกที่ตนรับเลี้ยง เพราะก่อนหน้านี้อนุบาลแมวไทยมาหลายตัว ก่อนที่จะให้คนที่ต้องการเอาไปเลี้ยง เพราะส่วนใหญ่มีนิสัยซนมาก แล้วพูดไม่ค่อยเชื่อ ต่างจากส้มหยุดที่รู้เรื่อง พาไปหาหมอ หรือทำกรงให้อยู่ช่วงกักตัวก่อนเอามาเจอ Sixteen และ TuTu ก็เชื่อฟัง รู้ว่าขับถ่ายตรงไหน กินน้ำตรงไหน กินข้าวตรงไหน มีระเบียบ ไม่ดื้อ แต่ยังมีความซนแบบเด็กๆ อยู่บ้าง แต่ถือว่าเป็นแมวที่ตนและก้อยสามารถฝึกฝนต่อไปได้

นอกจากนี้ โย่งยังเล่าถึงความน่ารักของส้มหยุดให้ฟังต่อว่า เป็นแมวขี้อ้อน ชอบนอนซบอกคุณแม่ทุกวัน ขณะที่ตัวเองจะเป็นคนที่ทำความสะอาด ให้อาหาร มากกว่า โย่งคิดว่าส้มหยุดน่าจะชอบการกอด เพราะช่วงแรกๆ ที่เอามาเลี้ยงก็จะพาไปกอดหน้าบ้านให้ได้ยินเสียงนกเสียงไม้ แล้วเขาก็จะหลับบนอกตัวเองทุกเย็น แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาทำงานก็จะนอนซบคุณแม่แทน จนหลังๆ แอบหมั่นไส้ที่ลูกชายคนเล็กแย่งความรักของแม่ไปจากพ่อหมดเลย โย่งเล่าติดตลก

โย่ง ส้มหยุด.JPG

ต้องพร้อมเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ ก่อนตัดสินใจเลี้ยง

ส่วนการสร้างความคุ้นเคยกับพี่ๆ ตนก็จะเริ่มจากการเช็ดตัวสลับกันให้คุ้นกลิ่น และให้เจอกันบ้าง แต่ด้วยความที่ส้มหยุดเป็นแมวตัวผู้ตัวเดียวในบ้าน และยังเด็ก ก็จะแกล้งพี่ๆ ทำให้ทั้งสองตัวอาจจะยังมีความรำคาญบ้าง ขู่บ้าง แต่คิดว่าในอนาคตน่าจะเข้ากันได้ โดยเฉพาะ Sixteen ที่เป็นแมวใจดี ชอบเป็นพี่เลี้ยงหรืออนุบาลน้อง เช่น สมัยก่อนตนเลี้ยงหมูชื่อ Twelve เจ้า Sixteen ก็คอยเป็นพี่เลี้ยง ไปกอด ไปเล่นและไปนอนด้วย ส่วน TuTu อาจต้องใช้เวลาเพราะว่าขี้น้อยใจ เวลาที่ตัวเองแสดงความรักกับส้มหยุดมากกว่าก็จะงอนไปหลบใต้โต๊ะ หรือใต้โซฟา ก็ต้องมุดโต๊ะ มุดโซฟาตามไปกอด และอุ้มกลับมาให้นอนที่บ้านแมวในห้องนอนซึ่งเป็นที่นอนประจำของเขา พร้อมบอกว่ารักเหมือนเดิมนะ

โย่งบอกว่าความแตกต่างของแมวฟาร์มกับแมวจรจัด คือแมวจรจัดจะมีโรคมากกว่าและอาจจะเป็นพาหะของโรคอื่นๆ ด้วย ดังนั้นต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ชัดเจนกว่านั้น คือนิสัย แมวฟาร์มจะเข้าใจการถูกเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น ไม่ค่อยก้าวร้าวมาก แต่แมวจรจัดจะมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด เช่น เวลากินก็จะกินเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะมีให้กินหรือเปล่า ดังนั้นถ้าเราเลือกที่จะเลี้ยงแมวแบบไหน ก็ต้องเข้าใจนิสัยของเขาก่อน อีกทั้งแมวไทยกับแมวสายพันธุ์ต่างประเทศก็มีธรรมชาติที่ต่างกัน รวมไปจนถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวของแมวแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกัน

ส่วนตัวมีวิธีเลี้ยงคือไม่ประคบประหงมมากนัก แต่เชื่อเรื่องการเอาใจใส่อย่างพอดี ทำให้เขามีความสุขในแบบที่รู้ว่ามีเหตุและผลอะไร ก็จะทำให้เขามีสุขภาพดี เพราะตนเชื่อว่าสาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจากความเครียด ไม่ว่าจะเป็น โรคตับ ไต เนื้องอก มะเร็ง ดังนั้นคนเลี้ยงจึงต้องให้ความรักและให้ความเข้าใจในสัตว์โดยการไม่ลงโทษเขา แต่ต้องหาการจัดการสิ่งที่อยู่ในความดูแลของเรา

“ผมว่าแมวหรือหมา โดนตี เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันคือการลงโทษ แต่เขาจะแค่งงว่าอยู่ดีๆ มาทำร้ายเราทำไม เขาจะรู้สึกแค่นั้น แล้วเขาก็จะไม่รู้สึกว่าต้องดัดนิสัยตัวเอง สมมติเขาไปฉี่ในที่ที่ไม่อยากให้เขาทำ เราก็ต้องดูว่าทำไมเขาไปฉี่ตรงนี้ อ๋อ กระบะทรายเราไม่ได้เปลี่ยน หรือถ้าไปฉี่ตรงนี้ซึ่งเป็นที่ที่เขาชอบ เราก็ไปหาอะไรที่เขาไม่ชอบมาวาง อย่างเช่น Sixteen เขาไม่ชอบเปลือกส้มอย่างรุนแรง ผมก็เอาเปลือกส้มไปวาง แล้วก็ทำที่ที่เหมาะควรให้เขาฉี่ ผมว่า intelligence ของสัตว์เยอะ แต่ว่าขึ้นอยู่กับความไม่กลัวและสบายใจ การลงโทษมันทำให้กลัวมากกว่าที่จะจำ” โย่ง กล่าว

เมื่อถามว่าทำไมไม่เลี้ยงหมา โย่งตอบว่าจริงๆ ไม่ใช่คนที่ไม่ชอบหมา เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่ต่างจังหวัดเลี้ยงหมาเยอะมาก แต่หมาต้องการความรักมากกว่าแมว และต้องการการติดต่อกันมากกว่าแมวหลายเท่า และวิธีคิดก็ไม่เหมือนกัน หมาก็จะมองทุกอย่างในแง่บวกหมดเลย แล้วถ้าวันไหน มีอะไรที่ไม่เป็นแง่บวก เขาก็จะดาวน์มากๆ ถ้าไม่ได้เจอ ไม่ได้อยู่ ไม่ได้เล่น ก็จะเศร้ามากๆ เพราะฉะนั้นถ้าตนต้องเลี้ยงหมาแล้วคงทำให้เขาเศร้าตลอดเวลา เพราะตนไม่ค่อยอยู่บ้าน ตนคงรู้สึกผิดมากเลย เช่น ตอนเลี้ยงหมูเป็นช่วงที่ตนไม่ค่อยอยู่บ้าน เขาก็เหงา เศร้า จนป่วย แล้วก็เสียชีวิตในที่สุด จนกลายมาเป็นความรู้สึกผิดในใจจนถึงทุกวันนี้

“ถ้าเราไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบอะไร เราอย่าเริ่ม” โย่งกล่าว

ตรงกันข้ามกับแมวที่มีความชิลมากกว่า ดูแลตัวเองได้ มีน้ำ กระบะทราย มีข้าว ให้ก็พอ แมวใช้ชีวิตง่าย โย่งเล่าว่าตอนที่เลี้ยงแมวแรกๆ ก็จะซื้อของเล่นให้แมวเต็มที่ เช่น ของเล่นชิ้นละพันก็ซื้อ แต่แมวมาดมหนึ่งที ตบอีกหนึ่งที แล้วก็ไปเล่นหลอดที่แถมมาจากร้านค้า ก็เลยรู้สึกว่าชีวิตที่เรียบง่ายของแมวน่าจะเข้ากับตัวเรามากกว่า และเสน่ห์อีกอย่างนึงของแมวคือความคาดเดาไม่ได้ บางทีเราอยากให้ทำอะไร แมวรู้ แต่ไม่อยากทำซึ่งมีเสน่ห์มากกว่าการคาดเดาได้ 100 เปอร์เซ็นต์

โย่ง ส้มหยุด.JPG

“ผมนิสัยเหมือนหมา ผมเป็นคนที่ตื่นเต้นกับอะไรที่จะเข้ามาในชีวิตแบบล้นมาก ชอบก็ชอบสุดๆ เศร้าก็เศร้าสุดๆ เกลียดก็เกลียดสุดๆ แต่พยายามจะไม่เกลียด ชอบทรีตสุดๆ ใครชอบที่ผมทำอะไรให้ ผมบริการเต็มที่ ผมว่าผมมีความเหมือนหมามากกว่าแมว พี่ก้อยนี่แมว 100 เปอร์เซ็นต์ พี่ก้อยเก็บตัว ไม่ค่อยยุ่งกับใคร รักความสวยความงาม ขาดอย่างเดียวที่ก้อยไม่เหมือนแมวคือการเลียตัวเอง ถ้าก้อยเลียตัวเองได้จะเหมือนแมว” โย่งพูดไปขำไป พร้อมกับมองหน้าภรรยา

โย่ง กล่าวต่อว่า ถ้าเปรียบเป็นละครก็คงเป็นเรื่องที่ Cliché มาก ดีก็ดี เลวก็เลว ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ต่างกับแมวที่มีการวางแผน ถ้าพวกมันพูดได้ มีสิบนิ้วเหมือนคน รู้จักเลขฐานสิบก็คงครองโลกไปแล้ว ไม่แปลกใจที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ชอบเอาแมวไปเป็นผู้ร้าย แล้วเอาหมาไปเป็นตัวเอก กู้โลก

ทั้งนี้ ตนเองก็มีโปรเจกต์จะแต่งเพลงให้ส้มหยุดด้วย ตอนเจอกันช่วงแรกๆ ก็แต่งเพลงซึ้งๆ เหมือนพรหมลิขิตพามาเจอกัน พูดอะไรก็เชื่อฟัง แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มไปซึ้ง เริ่มข่วนหน้า เริ่มต้องปรับเป็นเพลงเร็ว แต่เรื่องความคลิกกันของตนเองกับส้มหยุดยังเหมือนเดิม เพราะมีไม่กี่ตัวที่จะคลิกกัน เป็นแมวไทยตัวแรกที่เจอ แล้วตัดสินใจเลี้ยง เพราะความน่าเอ็นดูบางอย่าง

โย่ง ส้มหยุด.JPG

"ถ้าไม่มีแมว คงเลิกกับก้อยไปนานแล้ว"

ขณะเดียวกัน การเลี้ยงสัตว์นอกจากจะช่วยเยียวยาตัวเองจากความเครียดแล้ว ยังช่วยเยียวยาชีวิตคู่ของก้อย-โย่ง ด้วย

โย่งบอกว่าช่วงแรกถ้าไม่ได้เลี้ยงสัตว์ตนคงเลิกกันก้อยไปนานแล้ว เพราะปัญหาความขัดแย้งมันเยอะ แต่ว่าพวกตนมีสิ่งหนึ่งที่พร้อมจะน่ารักใส่ และทำให้ปล่อยวางสิ่งๆ หนึ่งไว้ก่อนเสมอ เราจะหายเหนื่อยกับปัญหาตรงหน้า แล้วไปเหนื่อยกับปัญหาของสัตว์เลี้ยงแทน แต่ก็ทำให้เกิดความรักความเข้าใจกันมากขึ้น เพราะเป็นปัญหาที่ต้องร่วมกันแก้ เหมือนกันคู่ที่มีลูก มีกิจการร่วมกัน เป็นต้น    

สำหรับประเด็นเรื่องการทิ้งสัตว์เลี้ยงในช่วงโควิด-19 ตนไม่ทราบว่าคนอื่นจะมีวิธีการตัดสินใจเรื่องความปลอดภัยอย่างไร แต่สำหรับตัวเองมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัว ถ้าลูกเป็นโควิดก็คงไม่ปล่อยให้ลูกตาย แต่เราต้องมีวิธีการจัดการ การเว้นระยะ ฯลฯ แต่ที่รับไม่ได้คือการเอาสัตว์มาทิ้ง หรือทำร้ายเพื่อระบายอารมณ์ เพราะคิดว่าสัตว์เลี้ยงคือสัตว์เลี้ยง หรือแฟชั่น

“สัตว์เลี้ยงคือครอบครัว มันคือจุดเติมเต็มอย่างหนึ่งที่มันก็เหมือนการมีลูก เราต้องมั่นใจก่อนว่าเรามีศักยภาพทางอารมณ์หรือศักยภาพในการรับผิดชอบพอที่จะดูแลเขาถึงวันที่เขาตาย นั่นแหละถึงจะตัดสินใจเอาเขามาเลี้ยง เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นปมตลอดไป แล้วมันก็จะเป็นภาระสังคม มันจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แล้วก็จะไปกัดลูกคนอื่น มันก็จะไปอึหน้าบ้านคนอื่น นำเชื้อโรคไปสู่โน่นสู่นี่ ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ความรับผิดชอบ” โย่ง กล่าว

วันเกิดทุกปี ตนจะเอาของไปให้กับมูลนิธิสัตว์พิการ เพราะครั้งแรกที่ไปคือไปถ่ายรายการแล้วรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่เศร้ามาก เพราะเป็นสถานที่ที่รวมสิ่งที่เคยเป็นที่รัก แต่ทุกวันนี้สังขารร่วงโรย สายตาฝ้าฟาง เฝ้าบ้านไม่ได้แล้ว เป็นโรคพิการเลี้ยงไม่ไหว คนก็เอาไปโยนให้ใครก็ไม่รู้ไปดูแล มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตนตัดสินใจไปช่วยเหลือที่นั่นทุกปีคือ มีสุนัขพันธุ์พูเดิลคู่หนึ่งที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พอแก่แล้วเจ้าของก็ขับรถเอามาวางทิ้งไว้ แล้ววันหนึ่งตัวผู้ตาย ตัวเมียก็หันไปทางกรงตลอด แล้วเห่าเรียกทุกวัน

ตนไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงทิ้งในสิ่งที่เคยรักได้ลง ก็เลยตัดสินใจว่าจะดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ดีที่สุด และช่วยเหลือสัตว์อื่นๆ เท่าที่จะทำได้ ส่วนสิ่งที่โย่งอยากเสนอให้มีคือการทำไมโครชิปเพื่อป้องการหลง หรือสูญหาย พร้อมทั้งยังบันทึกประวัติการรักษาเพื่อลดภาระและค่าใช้จ่ายของสัตว์ได้