ไม่พบผลการค้นหา
ส.ส.อนาคตใหม่ โต้ พล.อ.ประวิตร ชี้เสนอร่าง พ.ร.บ.การรับราชการทหารฉบับใหม่ เป็นการลดจำนวน-เน้นคุณภาพ ขอหยุดอ้างภาวะสงคราม ซัดเป็นเพียงคำขู่ที่เลื่อนลอย

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาโต้พรรคอนาคตใหม่จากการรณรงค์ร่าง พ.ร.บ.การรับราชการทหารฉบับใหม่แล้ว เห็นว่า พล.อ.ประวิตรคงเข้าใจอะไรผิดไปมาก แล้วเอาความเข้าใจผิดนั้นมาสร้างเป็นคำขู่เสียใหญ่โตว่า "ถ้าสมมุติว่ามีอะไรเกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ"

โดยรังสิมันต์ เห็นว่าประเด็นสำคัญประเด็นเดียวที่ พล.อ.ประวิตรได้ยกขึ้นมาโต้แย้งคือ ความจริงประเทศไทยใช้ระบบรับสมัครทหารอยู่แล้ว แต่จำนวนที่สมัครเข้ามาไม่เพียงพอ จึงต้องเกณฑ์เพิ่มนิดหน่อย ตนขอยกข้อมูลสถิติความต้องการทหารกองประจำการทั้งหมด, จำนวนผู้สมัครใจเข้ารับราชการทหาร และจำนวนผู้ที่ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารไม่ได้สมัครใจ ในช่วงปี 2559 - 2561 ดังนี้

  • ปี 2559 ต้องการกำลังพล 101,307 นาย สมัครเข้ามา 47,172 นาย เกณฑ์เข้ามา 54,135 นาย
  • ปี 2560 ต้องการกำลังพล 103,097 นาย สมัครเข้ามา 50,580 นาย เกณฑ์เข้ามา 52,517 นาย
  • ปี 2561 ต้องการกำลังพล 104,734 นาย สมัครเข้ามา 44,797 นาย เกณฑ์เข้ามา 59,937 นาย

จำนวนคน 54,000 - 60,000 คน สำหรับ พล.อ.ประวิตรแล้วถือว่านิดหน่อยอย่างนั้นหรือ

รังสิมันต์ ตั้งคำถามว่า แล้วอะไรคือเหตุผลที่ต้องตั้งความต้องการกำลังพลถึงหลักแสนนายในแต่ละปี ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าหลักคิดที่สำคัญของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้คือการลดจำนวน เน้นคุณภาพ โดยเอางบประมาณที่เสียไปกับการเกณฑ์ทหารจำนวนมากมาพัฒนาทหารที่สมัครใจเข้ามาให้มีความเชี่ยวชาญจริง รวมถึงให้สวัสดิการให้โอกาสได้เลื่อนขั้น และให้หลักประกันว่าจะไม่ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้มีผู้สมัครเข้ามาเป็นทหารได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่แน่นอนว่าจะไม่เปิดรับเป็นหลักแสนนายอย่างในปัจจุบัน

เหตุที่ลดจำนวนเพราะเราเห็นแล้วว่าในสถานการณ์ปกติ ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้มีความจำเป็นต้องดำเนินปฏิบัติการทางทหารที่ใช้กำลังพลนับหมื่นนาย แต่อาจต้องการหน่วยทหารที่มีขนาดเล็ก แต่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จมากกว่า 

"เราไม่ได้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยเด็ดขาดทุกกรณี เพราะหากบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม ก็จำเป็นต้องนำการเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ โดยภาวะสงคราม ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าต้องรอให้เกิดสงครามขึ้นก่อน แต่เป็นภาวะที่เห็นแนวโน้มหรือความเสี่ยงได้อย่างชัดแจ้งว่าจะเกิดสงครามที่ต้องอาศัยกำลังพลจำนวนมากถึงขนาดต้องเกณฑ์ทหาร ซึ่งจะต้องแสดงข้อมูลที่น่าเชื่อถือให้เห็นได้ถึงแนวโน้มหรือความเสี่ยงนั้นจริงๆ มิใช่กล่าวอ้างโดยปราศจากหลักฐาน"

ดังนั้นคำขู่ของ พล.อ.ประวิตรเป็นเพียงคำขู่ที่ตัว พล.อ.ประวิตรเองก็ไม่สามารถชี้แจงได้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่ว่านั้นมันคืออะไรกันแน่ และมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ตนและพรรคอนาคตใหม่จึงไม่อาจยอมรับคำโต้แย้งแบบนี้ ให้มายกเลิกการผลักดันร่างพ.ร.บ.การรับราชการทหารฉบับใหม่ของเราได้