ไม่พบผลการค้นหา
"อนุทิน" คุยอุปฑูตจีน ขอพิจารณาซื้อยาต้านไวรัสโควิด - 19 เป็นกรณีพิเศษ ยืนยันไทยมียารักษาเพียงพอ หากไม่มีการระบาดมากกว่านี้ เผยนายกรัฐมนตรี เตรียมประกาศมาตรการเพิ่ม แต่ไม่ใช่ยกระดับระยะที่ 3

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังพบ นายหยาง ซิน อุปฑูตจีนประจำประเทศไทย ว่า ได้ขอให้ช่วยเจรจากับผู้ผลิตยาที่ได้ลิขสิทธิ์ในผลิตยาการรักษาไวรัสโควิด-19 ที่มีสรรพคุณใช้ได้ดีกับผู้ป่วย ให้ทางการไทยสามารถซื้อยาเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากยาที่นำมารักษาใช้ในการรักษาคนจีนกว่าครึ่ง ซึ่งขณะนี้เองทางการจีนยังไม่อนุญาตให้มีการขายยาออกนอกประเทศ โดยขอให้นายหยางช่วยประสานงานให้ไทยซื้อยาได้ แต่ยืนยันว่ายาของไทยที่ผลิตเองและใช้รักษาเพื่อยับยั้งอาการได้  ดังนั้นกระแสข่าวไม่มียารักษาผู้ป่วยไม่เป็นความจริง และองค์การเภสัชกรรมได้ซื้อยานี้ได้จำนวนหนึ่ง โดยใช้ความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ผลิตยาด้วยกัน จึงนำเข้ามาได้ในสัปดาห์ที่แล้ว 

นายอนุทินยืนยันว่า ขณะนี้ไทยมียาเพียงพอกับการรักษายับยั้งอาการให้หายได้ หากไม่มีการแพร่ระบาดที่รุนแรงมากกว่านี้ ทั้งนี้จากการรักษาไทยมีความมั่นใจมากขึ้น โดยจากผู้ป่วย 43 ราย กลับบ้านได้ 28 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 14 คน เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งยังไม่แน่ชัดในสาเหตการเสียชีวิตเกิดจากไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ทางการแพทย์ และในผู้ป่วย 43 ราย 2 ใน3 รักษาหายโดยใช้ยาที่มีอยู่ในประเทศ เพราะปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง แต่เป็นยาประคองอาการทำให้ผู้ป่วยสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อไวรัสและหายป่วย พร้อมย้ำผู้ที่เสียชีวิตเมื่อวานนี้รักษาการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หายแล้ว แต่อาการป่วยจากโรคอื่นประกอบ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับโรคนี้ได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าไทยมียาเพียงพอที่จะรักษาการติดเชื้อโควิด-19 ได้ 

นายอนุทิน กล่าวว่า ในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะประกาศแผนบูรณาการป้องกันรับมือโควิด-19 โดยยังไม่ใช่การประกาศยกระดับเข้าสู่ระยะที่ 3 เพราะยังไม่มีการแพร่ติดต่อกันเองของคนสู่คนในประเทศ ในลักษณะที่เป็นคนหมู่มาก ขณะนี้ยังอยู่ในระยะที่ 2 โดยการกำหนดระยะเป็นการกำหนดขึ้นมาเอง สำคัญที่สุดต้องมียารักษาผู้ป่วย มีบุคลากรทางการแพทย์และสถานพยาบาลเพียงพอ

ส่วนมาตรการในการป้องกันดูแลตนเอง ขอให้กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด หากป่วยให้สวมหน้ากากอนามัย ส่วนปัญหาการคลาดแคลน สามารถที่จะใช้หน้ากากผ้าแทนได้ เพราะถือเป็นการป้องกันการสัมผัสเท่านั้น หากต้องการป้องกันจริงต้องปิดทั้งหน้า สถานการณ์ยังไม่ถึงขนาดนั้น และหากทุกคนร่วมมือกันใช้หน้ากากผ้า การกักตุนหน้ากากอนามัยจะปล่อยสินค้าออกมาขายเอง อีกทั้งการใช้หน้ากากอนามัยต้องคำนึงถึงการกำจัดว่าจะเป็นสะสมเป็นเชื้อโรค 

ขณะเดียวกันปฏิเสธแสดงความเห็นกรณีนักวิชาการด้านการแพทย์ของสหรัฐฯ ระบุว่าผู้ที่ไม่ป่วยแล้วใส่หน้ากากจะมีโอกาสติดเชื้อมากกว่า โดยจะให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ชี้แจง ซึ่งตนเห็นด้วยหากไม่ป่วยก็ไม่ควรใช้ แต่ควรให้ใช้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลหรือเมื่อเข้าไปสู่พื้นที่แออัด