ไม่พบผลการค้นหา
ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อัด 'ประยุทธ์' ผู้นำล้มเหลวไม่รู้เรื่องการค้าระหว่างประเทศ เตรียมทำคนตกงานอีกนับล้าน แฉเอกสารสหรัฐฯ กดดันไทย เปิดรับ 'เนื้อแดง'

วันที่ 25 ก.พ.ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในระดับมหภาคและการค้าระหว่างประเทศ ล้มเหลวในการกำหนดนโยบายและไม่สามารถสร้างทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สาเหตุจากการรวมกันของหลายพรรค หลายกลุ่มผลประโยชน์ จึงทำงานไม่สอดประสานกัน 

จากนั้น น.ส.จิราพร เปิดคลิปวิดีโอที่นายกรัฐมนตรี ที่เคยแนะนำให้ประชาชน ปลูกหมามุ่ย ส่งยางพาราไปขายดาวอังคาร ส่งออกยาสีฟัน แปรงสีฟัน รวมถึงรองเท้าแตะ โดยระบุว่า เพียงแค่คลิปนี้ก็มากพอที่จะทำให้เราเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ความสามารถและวิสัยทัศน์ในด้านเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง

ชี้ ประยุทธ์ ล้มเหลวการเจรจาระหว่างประเทศ

ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ไล่เรียงความล้มเหลวของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มจาก ล้มเหลวในการเจรจาขอให้เวียดนามยกเลิกมาตรการนำเข้ารถยนต์ที่เป็นอุปสรรคในการส่งออกรถยนต์จากไทยไปเวียดนาม ล้มเหลวในการผลักดันให้เวียดนามเซ็นต์ความตกลงอาเซียนที่เรียกว่า ASEAN MRA 

ล้มเหลวในการเจรจาให้อินโดนีเซียยกเลิกมาตรการนำเข้าพืชสวน เพื่อปลดล็อกการส่องออกหอมแดงกับลำไยมีผลทำให้ราคาตกต่ำ สร้างความเดือดร้อนให้เกษตกรกว่า 50,000 ครัวเรือน , ล้มเหลวในการเจรจาขอโควตาข้าวจากเกาหลี ทำให้ไทยได้โควตาน้อยกว่าประเทศคู่แข่งคนสำคัญอื่นๆ เช่น จีนได้จำนวน 157,195 ตัน เวียดนามได้จำนวน 55,112 ตัน แต่ไทยได้แค่ 28,494 ตัน น้อยกว่าเวียดนามถึงสองเท่าตัว และน้อยกว่าจีนและสหรัฐเป็นสิบเท่าตัว 

นอกจากนี้ล้มเหลวในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศ RCEP ไม่สามารถโน้มน้าวอินเดียให้เข้าร่วมได้ ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสที่จะเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ที่มีจีดีพีเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีประชากรกว่า 1,200 ล้านคน

0043.jpg

อัด 'ประยุทธ์' โกหกเรื่อง GSP

ล่าสุด รัฐบาล ยังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล้มเหลว ไม่สามารถรักษาสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรหรือ GSP ไว้ได้ หลังจากสหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิ GSP ที่เคยให้กับสินค้าไทยจำนวน 573 รายการ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2562 

น.ส.จิราพร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดเท็จกับประชาชนว่าเพิ่งรับทราบเรื่องดังกล่าว ล่วงหน้าเพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อตรวจสอบเอกสารจากทางราชการ ที่สหรัฐฯ ได้ประสานกับรัฐบาล พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ทราบเรื่องที่สหรัฐฯ จะตัด GSP ตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารในปี 2557 และได้รับรายงานต่อเนื่อง แต่ต้องการปกปิดความจริงที่เกิดขึ้นและไม่สามารถที่จะเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ จึงมาอ้างว่าเพิ่งทราบเรื่อง จากหลักฐานดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า “พล.อ.ประยุทธ์พูดเท็จกับประชาชน และนำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อมา”


น.ส.จิราพร ระบุว่า การที่รัฐบาลสหรัฐจะตัดสิทธิ GSP ไทย เกิดขึ้นในเดือน ต.ค.2557 ภายหลังการยึดอำนาจ เพียง 5 เดือน หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศตุรกี และแคนาดา ก็ทยอยตัด GSP ไทยตามลำดับ ต่อมาในปี 2562 ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ก็ประกาศตัด GSP ไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งกรณีสหรัฐฯ จะมีผลในเดือนเม.ย. 2563 ที่จะถึงนี้ จะเห็นได้ว่า การทำรัฐประหาร ทำให้ไทยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นจุดอ่อนไม่เป็นที่ยอมรับของโลก 

รวมความเสียหายที่ไทยถูกตัดสิทธิ GSP ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ถึงปัจจุบันคิดเป็นมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท

“เกินครึ่งทศวรรษที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ โรงงานไทยถูกปิดไปแล้วกว่า หมื่นกว่าแห่ง คนตกงานนับ 3 แสนราย และถูกตัดสิทธิ GSP กำลังจะทำให้คนตกงานเพิ่มอีกเป็นนับล้านคน” น.ส.จิราพรกล่าวและว่า ผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิ GSP ยังลามกระทบไปถึงแรงงานโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมากกว่า 1,500,000 คน และสร้างความเสียหายต่อแรงงานในอุตสาหกรรมสนับสนุนที่เป็นภาคเกษตรอีกกว่า 7 ล้านคน ลามไปถึงแรงงานในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกกว่า 10 ล้านคน 

น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2563 กรมการค้าต่างประเทศ ออกมายอมรับแล้วว่าสหรัฐฯ ปิดประตูตายไม่ยอมให้ไทยเข้าเจรจาเรื่อง GSP ดังนั้นเป็นที่แน่นอนว่า อีก 2 เดือนข้างหน้า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนไทยตกงานเพิ่มอีกนับล้านคน 

พล.อ.ประยุทธ์ ยังจะนำพาให้ประเทศไปสู่ความล้มเหลว จากการที่รัฐบาลตัดสินใจเข้าร่วมกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือเรียกสั้นๆว่า CPTPP โดยการเข้าร่วมแสดงถึงความไม่รู้ไม่เข้าใจด้านการค้าระหว่างประเทศของนายกฯ โดยไทยมีความตกลงทางการค้ากับทุกประเทศสมาชิก CPTPP แล้ว เหลือแค่ 2 ประเทศคือ แคนาดา กับ เม็กซิโก ซึ่ง 2 ประเทศนี้มีมูลค่าการค้ากับไทยน้อยมาก ถือเป็นการตัดสินใจที่ได้ไม่คุ้มเสีย 

ประการสำคัญที่สุด คือ การเข้าร่วมความตกลงฉบับนี้เป็นการบังคับให้ไทยต้องแก้กฎหมายภายในประเทศให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหภาพเพื่อคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ หรือ UPOV1991 ซึ่งไม่อนุญาตให้พี่น้องเกษตรกรเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ แม้แต่แลกเปลี่ยนกันก็ไม่ได้ การตัดสินใจที่จะเข้าร่วม CPTPP เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ เพราะเป็นการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรไทยกว่า 7 ล้านครัวเรือน

ประยุทธ์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ สภา 0007.jpg


0225_0039.jpg

แฉคุย 'ทรัมป์' แลกนำเข้าสารเร่งเนื้อแดง

น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังนำผลประโยชน์ของชาติ ไปมอบกับให้ต่างประเทศ โดยเมื่อ 2 ต.ค.2560 ได้เข้าพบนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากนั้นได้ออกมาตีข่าวเป็นการใหญ่ว่า การเจรจาเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ประสบความสำเร็จ รวมถึงให้สัมภาษณ์ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทรัมป์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จากการคุยโทรศัพท์ทรัมป์ ท่านพูดด้วยวาจาไพเราะ การเยือนสหรัฐฯ ในครั้งนี้ มีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมีความรู้สึกว่าได้พบเพื่อนที่แท้จริงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ต่อมาเดือนกว่าๆ สหรัฐฯ ได้มีหนังสือถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อทวงถามความคืบหน้าการดำเนินการตามผลการหารือและข้อตกลงระหว่างการเยือนกรุงวอชิงตัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี มีสาระสำคัญอยู่ที่ย่อหน้าที่ 2 และย่อหน้าที่ 4 

ย่อหน้าที่ 2 กล่าวถึงการขยายความสัมพันธ์การค้าของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารจากสหรัฐอเมริกาสำหรับโครงการพัฒนากองทัพไทย

ย่อหน้าที่ 4 มีใจความสำคัญ ด้านเกษตรกรรม ระบุว่า ไทยได้ยอมรับที่จะดำเนินการต่อไปเพื่อนำไปสู่การเปิดตลาดภายในประเทศสำหรับสินค้าเครื่องในวัว เนื้อสุกร และสัตว์ปีก จากสหรัฐฯ ในระยะเวลาอันใกล้ และหวังว่าจะมีทางออกโดยเร็วต่อประเด็นนี้และต่อการเปิดตลาดทั้งหมดของไทยต่อสินค้าข้างต้น โดยเฉพาะเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรจากสหรัฐฯ ลงชื่อ วิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ 

จากหนังสือข้างต้น แสดงให้เห็นว่า นอกจากพล.อ.ประยุทธ์จะไปเจรจาขอซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ แล้ว ยังได้ไปยอมรับ ว่าจะดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดตลาดเนื้อสุกรให้กับสหรัฐ แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ หมูนั้นคือ หมูที่มีสาร Ractopamine หรือ สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค 

แม้ยังไม่ได้มีการลงนามข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร แต่คำพูดของผู้นำประเทศ ถือเป็นการผูกพันในระดับนโยบาย สหรัฐฯ จึงทวงถามคำมั่นสัญญาและกดดันไทยเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐฯ ในที่สุด

จากเอกสารทางราชการของสำนักงานพาณิชย์ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ลงวันที่ 31 ม.ค. 2563 ระบุว่า ในส่วนของการเปิดตลาดสินค้าสุกรและผลิตภัณฑ์ อยู่ระหว่างการดำเนินการในขั้นตอนที่ 4 จาก 9 ขั้นตอน หมายความว่าขณะนี้ไทยได้ดำเนินการเพื่อนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงมาถึงครึ่งทางแล้ว พล.อ.ประยุทธ์นอกจากจะดำเนินนโยบายผิดพลาด ล้มเหลว ยังปากจงใจปกปิดข้อเท็จจริงกับประชาชน


การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปตกลงกับสหรัฐฯ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับการส่งออกปศุสัตว์ของไทย ไทยจะไม่สามารถส่งออกเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศคู่ค้าที่ไม่อนุญาตให้นำเข้าเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง เช่น สหภาพยุโรป จีน และรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ ทำให้ไทยเสียโอกาสที่จะเข้าถึงตลาดที่มีประชากรรวมกันกว่า 2,000 ล้านคน

“พล.อ.ประยุทธ์ ไม่คิดจะรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ยอมเอาสุขภาพของประชาชน เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติไปแลกเพื่อหน้าตาและผลประโยชน์ของรัฐบาลตัวเอง”

น.ส.จิราพร กล่าว

น.ส.จิราพร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำในวิกฤติใหนได้เลยแม้แต่วิกฤตเดียว ตอนนี้ประเทศกำลังเดินเข้าสู่หายนะทางเศรษฐกิจ เรายังจะกล้าฝากประเทศไว้กับคนไร้ฝืมือ ไร้ความสามารถให้บริหารต่อไปหรือไม่

“การเป็นผู้นำ ต้องนำได้ทั้งยามปกติและในยามวิกฤติ แต่พล.อ.ประยุทธ์พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำไม่ได้ทั้งสองสถานการณ์ หากประเทศไทยยังมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ดิฉันรับรองว่าในไม่ช้าประเทศต้องเดินเข้าสู่หายนะทางเศรษฐกิจ อนาคตมืดมน ประชาชนหมดหวังแน่นอน ดิฉันจึงไม่อาจไว้วางใจให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี อีกต่อไปได้” น.ส.จิราพร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง