ไม่พบผลการค้นหา
23 องค์กรภาคประชาชน เดินขบวนนำรายชื่อ 13,409 รายชื่อ เข้ายื่นต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอร่างกฎหมาย ยกเลิกคำสั่งและประกาศ คสช. ละเมิดสิทธิมนุษยชน

จากกรณีโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ จัดกิจกรรมล่ารายชื่อประชาชน เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช.และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ขัดหลักการสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยรวม 35 ฉบับ โดยริเริ่มเมื่อปี 2560 ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (24มิ.ย.)จัดกิจกรรมปักหมุดวาระแรกของประชาชน เดินเท้าจากหน้ากระทรวงการคลังไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยื่นร่างกฎหมายยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช. พร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนร่างกฎหมายที่ร่วมกันลงชื่อผ่านกิจกรรม ปลดอาวุธ คสช. ทวงคืนสถานการณ์ปกติ จำนวน 13,409 รายชื่อ

โดยมีประชาชนจาก 23 เครือข่ายจำนวนมากกว่า 50 คนจัดขบวนเดินเท้าระยะทางกว่า 1 กิโลเมตรเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเดินทางถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นายจอนได้เป็นตัวแทนยื่นร่าวกฎหมายพร้อมรายชื่อประขาชนที่ลงชื่อสรับสนุนกฎหมายฉบับนี้ ผ่านรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบตลอดเส้นทางของการจัดกิจกรรม

นายยิ่งชีพ กล่าวว่า วันนี้เครือข่ายภาคประชาชน 23 องค์กรรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อประกาศเจตนารมณ์ในการยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช.ที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และถูกบังคับใช้มานานกว่า 5 ปี ด้วยการทำกิจกรรมเดินระยะทาง 1 กิโลเมตรนำรายชื่อ 13,409 รายชื่อที่ใช้สิทธิ์เข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญมาตรา 133 เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติให้รัฐสภาออกเป็นกฎหมายยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช.จำนวน 35 ฉบับ

ซึ่งประกาศและคำสั่งของ คสช.กว่า 500 ฉบับ มีแนวโน้มว่าจะถูกทิ้งให้มีผลบังคับใช้ หลังจาก คสช.หมดอำนาจกว่า 200 ฉบับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะประกาศและคำสั่งเหล่านี้ออกโดย คสช.ฝ่ายเดียว ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม ซึ่งอำนาจเหล่านี้ควรหมดไป และใช้อำนาจตามปกติภายใต้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง หากนโยบายใดที่จะเดินหน้าต่อ ควรออกเป็นพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภา ไม่ควรใช้ประกาศและคำสั่งของ คสช.อย่างนี้ต่อไปอีก

นายยิ่งขีพ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ไปยังมีอีกหลายงานที่ภาคประชาชนต้องติดตาม โดยเฉพาะการบังคับใช้ประกาศและคำสั่งของ คสช.ที่ยังคงมีอยู่ ทั้งการให้ทหารจับกุมประชาชน ทหารมีอำนาจออกหมายเรียกประชาชนและนำพลเรือนเข้าค่ายทหาร ซึ่งยังมีพลเรือนจำนวนมากที่ยังต้องขึ้นศาลทหาร จึงเป็นหน้าที่ที่ต้องติดตามต่อเนื่องและผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้ได้ 

ซึ่งเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนของสภาฯแล้วเป็นหน้าที่ของ ส.ส.จากทุกพรรคการเมืองที่จะผลักดันด้วยการยกมือสนับสนุน ภาคประชาชนที่ร่วมกิจกรรมเข้าชื่อวันนี้จะจับตาดูว่าส.ส.คนใดบ้างที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนกฎหมายของภาคประชาชน โดยเฉพาะจะต้องจับตาดูว่าคนที่ประกาศว่าตัวเองเป็นนายกฯที่มาจากประชาธิปไตยและมาจากประชาชนจะยกเลิกประกาศและคำสั่งที่มาจากอำนาจพิเศษเหล่านี้หรือไม่

จึงขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล หากต้องการเห็นบ้านเมืองมีประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีสถานการณ์ที่ปกติ ไม่ให้อำนาจทหารเข้ามาควบคุมในทุกเรื่อง ไม่ให้ทหารมีอำนาจเหนือกระบวนการยุติธรรม ทุกพรรคการเมืองควรร่วมกันสนับสนุนให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ผ่านการพิจารณา ซึ่งหากทุกพรรคการเมืองร่วมมือกันอย่างแท้จริง คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2-3 เดือนในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้ออกมาบังคับใช้ได้

ส่วนการเลือกวันนี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันจัดกิจกรรมนั้น นายยิ่งชีพ กล่าวว่า แม้เป็นวันที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมวันนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นวันดีและเป็นวันที่พี่น้องประชาชนสะดวกในการมารวมตัวกันตามที่นัดหมายไว้

ปักหมุด คสช.ปักหมุด คสช.ปักหมุด คสช.