ไม่พบผลการค้นหา
งานวิจัยล่าสุดระบุว่า รถยนต์ไร้คนขับจะทำให้คนใช้เวลาบนรถยนต์ทำกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น รวมถึงการมีเซ็กส์บนรถด้วย

นิตยสารวิชาการ Annals of Tourism Research ตีพิมพ์ผลวิจัยเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับและอนาคตของการท่องเที่ยวในเขตเมือง โดยวิจัยดังกล่าวระบุว่า รถยนต์ไร้คนขับจะเปลี่ยนแปลงวิธีการเดินทางและการทำงานของคนยุคใหม่ เพราะรถยนต์ไร้คนขับจะกลายเป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น รวมถึงการมีเซ็กส์ด้วย

สก็อต โคเฮน รองผู้อำนวยการการวิจัยของคณะการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยนี้ระบุว่า นอกเหนือจากการนอน กิจกรรมที่คนจะทำเมื่อมีเวลาว่างจากการขับรถก็น่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ เพราะการมีเซ็กส์ในรถยนต์เองก็มีการนำเสนอภาพออกมาในภาพยนตร์วัยรุ่นหลายเรื่อง จึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย

ก่อนหน้านี้ เพิ่งมีการเผยแพร่ผลการศึกษาที่ระบุว่า ชาวอเมริกันเกือบร้อยละ 60 เคยมีเซ็กส์กันบนรถ จึงมีการคาดการณ์ว่า หากรถยนต์ไร้คนขับแพร่หลายขึ้นก็อาจทำให้มีคนใช้รถยนต์กลายมาเป็นห้องส่วนตัวในการทำกิจกรรมทางเพศมากขึ้น

วิจัยฉบับนี้คาดว่า รถยนต์ไร้คนขับจะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเขตเมือง และอาจปฏิวัติพื้นที่สีแดง และเปิดพื้นที่ให้การขายบริการทางเพศไปอยู่บนรถยนต์มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองที่การขายบริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฏหมาย และเมืองที่สนับสนุนให่มีการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับอย่างรวดเร็วอย่างยุโรป แต่การมีรถยนตร์ไร้คนขับก็อาจส่งผลกระทบกับความปลอดภัยของผู้ขายบริการทางเพศด้วย

แม้จะมีงานวิจัยที่ระบุว่ารถยนต์ไร้คนขับอาจถูกนำมาใช้เป็นพื้นที่สำหรับการมีเซ็กส์จะมีเพียงชิ้นเดียว แต่นายโคเฮนมองว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไร้คนขับก็อาจต้องคำนึงว่าจะออกแบบรถยนต์ออกมาอย่างไรให้มีพื้นที่จะตอบสนองกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การนอน กินข้าว ดูหนังไปจนถึงการมีเซ็กส์ เพราะเรื่องเซ็กส์เป็นประเด็นที่สามารถขายได้ และอาจช่วยให้คนสนใจรถยนต์ไร้คนขับที่คำนึงถึงเรื่องเซ็กส์มากขึ้นด้วย

นายโคเฮนให้สัมภาษณ์กับ Fast Company ว่า เหตุผลที่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่ค่อยนึกถึงเรื่องการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ในการมีเซ็กส์ก็เพราะวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยม นอกจากนี้ เวลาที่คนศึกษาเกี่ยวกับเมืองในอนาคต ก็มักจะสนใจวิถีชีวิตในช่วงกลางวัน และละเลยกิจกรรมที่เกิดขึ้นตอนกลางคืนไป

อย่างไรก็ตาม นายโคเฮนมองว่า กว่ารถยนต์ไร้คนขับจะกลายมาเป็นห้องส่วนตัวสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ ก็น่าจะเป็นช่วงปี 2040 เป็นต้นไป ที่รถยนต์ไร้คนขับจะกลายมาเป็นการเดินทางกระแสหลัก

ที่มา : Research Gate, Fast Company