ไม่พบผลการค้นหา
กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงกรณีโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณบุคลากรไปเพาะชำกล้าไม้ ทำตามขั้นตอนทุกประการ สามารถตรวจสอบได้ทุกประเด็น

นายสมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวกรณีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการปลูกป่ากรมป่าไม้ เมื่อปี พ.ศ. 2553 ได้โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณบุคลากรไปเพาะชำกล้าไม้ จำนวน 53 ล้านกล้า และมีการเรียกเงินทอน 50 เปอร์เซ็นต์ นั้น

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเรียนชี้แจงดังนี้

1) ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 สำนักส่งเสริมการปลูกป่า ได้รับการประสานงานด้วยวาจาจากอธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนั้น ให้ดำเนินการสำรวจความต้องการกล้าไม้สำหรับใช้ในโครงการบรรเทาวิกฤตโลกร้อนเฉลิมพระเกียรติฯ จึงมีความจำเป็นต้องใช้กล้าไม้เพื่อสนับสนุนโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 84 ล้านกล้า ภายในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวกรมป่าไม้ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพาะชำกล้าไม้ไม่เพียงพอที่จะดำเนินการตามโครงการดังกล่าวได้ จึงได้เสนอให้มีการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย จากงบประมาณเหลือจ่ายของกรมป่าไม้ ประจำปี 2553 จำนวน 103,716,100 บาท ไปเป็นแผนงานอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ผลผลิตที่ 1 พื้นที่ป่าไม้ได้รับการบริหารจัดการ กิจกรรมหลักฟื้นฟูป่าไม้ กิจกรรมเพาะชำกล้าไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว หมวดงบลงทุน

2) การดำเนินการแต่ละขั้นตอนได้ดำเนินการด้วยความรอบคอบรัดกุม มีการหารือร่วมกันระหว่างสำนักบริหารกลาง สำนักแผนงานและสารสนเทศ สำนักส่งเสริมการปลูกป่า โดยผ่านการพิจารณาจากรองอธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนั้น ถึง 2 ท่านและรองอธิบดีกรมป่าไม้ได้มีบันทึกลงวันที่ 3 ส.ค. 2553 ท้ายหนังสือสำนักส่งเสริมการปลูกป่า นำเรียนอธิบดีกรมป่าไม้เพื่อขออนุมัติตามขั้นตอนของทางราชการซึ่งต่อมาอธิบดีกรมป่าไม้จึงได้พิจารณาอนุมัติในหลักการตามหนังสือที่เสนอ

ดังนั้นอำนาจในการอนุมัติเพื่อโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ จึงเป็นอำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ ซึ่งในขณะนั้นตนเป็นเพียงผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการปลูกป่า เมื่อได้รับข้อสั่งการจากท่านอธิบดีฯ จึงได้ดำเนินการเสนอหนังสือตามขั้นตอนของทางราชการเท่านั้น

3) กรมป่าไม้ได้ดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว โดยจัดสรรให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ ทั้งสิ้น 221 หน่วยงาน เพาะชำกล้าไม้ทั่วไป จำนวน 41,192,000 ต้น เพาะชำกล้าไม้ใหญ่จำนวน 972,300 ต้น รวมงบประมาณทั้งสิ้น 103,716,100 บาท (หนึ่งร้อยสามล้านเจ็ดแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)

4) สำหรับประเด็นที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้กล่าวถึงเทคนิค และวิธีการ การเพาะชำกล้าไม้ ซึ่งตามข่าวแจ้งว่า 

-ช่วงฤดูการเพาะชำกล้าไม้จะทำกันในช่วงฤดูแล้ง คือเดือนมีนาคมถึงเมษายน เพราะหากมีฝนตกเมล็ดที่เพาะจะเป็นเชื้อราและรากเน่า

-ในช่วงฤดูฝนไม่สามารถหาเมล็ดไม้ป่ามาเพาะได้เนื่องจากเมล็ดไม้จะแก่พร้อมที่จะใช้เพาะเป็นช่วงฤดูแล้งเท่านั้น และบางชนิดมีระยะเวลาที่แก่พร้อมเพาะชำแค่ 7-15 วันเท่านั้นหากไม่นำมาเพาะเมล็ดจะเสื่อมคุณภาพเช่นไม้ยางนาไม้ตะเคียนต่างๆไม้สะเดาแต่ในบัญชีกล้าไม้กลับมีไม้เหล่านี้อยู่ในการรายงาน

-การเก็บหาเมล็ดต้องใช้เมล็ดไม้เกินกว่า 53 ล้านเมล็ดภายในระยะเวลา 1 เดือนจึงไม่สามารถหาเมล็ดไม้ป่าได้ทัน

-การกรอกดินใส่ถุงในช่วงฤดูฝนไม่สามารถทำได้เนื่องจากดินจะเปียกแฉะค่าแรงงานเหมาจะสูงมาก เพราะปกติจ้างเหมา 2,000 ถุงต่อ 200 บาทจะกลายเป็น 200 ถุง ต่อ 200 บาท

-กล้าไม้จะต้องมีระยะเวลาทำให้แข็งแรงก่อนแจกจ่ายประมาณ 4-5 เดือน คือ ทำให้แกร่ง ทำให้รากแข็งแรงและไม่ช้ำ

-เป็นไปไม่ได้ที่จะเพาะชำกล้าไม้ 53 ล้านกล้าและนำไปแจกจ่ายให้เสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือน

ซึ่งข้อความเหล่านี้เป็นเพียงประเด็นที่ระบุไว้ในหนังสือร้องเรียนเท่านั้น ไม่ได้เป็นเนื้อหาที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ตั้งประเด็นขึ้นมาเพื่อให้มีการตรวจสอบตามหัวข้อดังกล่าวแต่ประการใด ซึ่งเป็นกรณีปกติทั่วไป เมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้นก็ต้องมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงในเบื้องต้นให้ทราบว่า

-การทำโรงเรือนเพาะชำ จะใช้ระบบแบบมีหลังคาซึ่งสามารถป้องกันน้ำฝน ป้องกันการไหลรวมของเมล็ดสามารถป้องกันเมล็ดเป็นเชื้อราและรากเน่า ได้

-กล้าไม้ที่นำมาเพาะ เป็นกล้าไม้ที่สำนักวิจัยฯกรมป่าไม้ ได้เก็บสะสมไว้ก่อนเป็นจำนวนมากเพื่องานทดลองศึกษาทางวิชาการ จึงสามารถสนับสนุนเมล็ดไม้สำหรับการเพาะชำในช่วงเวลาดังกล่าวได้ในทันที ส่วนกรณีไม้ยางนาไม้ตะเคียนและไม้อื่นๆนั้นมีการจัดเตรียมกล้าไว้บางส่วนเพื่อรองรับโครงการที่เป็นนโยบายเร่งด่วนตามปกติอยู่แล้ว

-สำหรับการเก็บหาเมล็ดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการจัดซื้อเมล็ดไม้จากแหล่งอื่นๆ ที่มีเมล็ดไม้เก็บสะสมอยู่ก่อนแล้ว

-การกรอกดินใส่ถุงในช่วงฤดูฝนไม่เป็นอุปสรรคแต่ประการใด เนื่องจากโรงเพาะชำได้มีการสร้างหลังคาคลุมในพื้นที่เตรียมดินเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ทุกฤดูกาล

-สำหรับกล้าไม้ที่เพาะไว้ ไม่ได้ดำเนินการแจกจ่ายในทันทีทันใด หรือต้องแจกจ่ายให้หมดภายในระยะเวลา 1 เดือน แต่จะเพาะไว้สำหรับการแจกจ่ายในปีถัดไป

ดังนั้นจึงขอยืนยันว่า การอนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพาะชำกล้าไม้ดังกล่าวข้างต้น เป็นอำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ ซึ่งตนไม่มีอำนาจในการอนุมัติแต่ประการใด สำหรับการจัดหาเมล็ดไม้ก็ได้ดำเนินการจัดหาจากแหล่งที่มีเมล็ดไม้ค้างปีเทคนิคการเพาะชำในช่วงฤดูฝนก็สามารถใช้โรงเรือนที่มีหลังคาแบบระบบปิดซึ่งสามารถปฏิบัติงานได้เป็นปกติในทุกฤดูกาลสามารถป้องกันน้ำฝนที่อาจก่อให้เกิดเชื้อรากับเมล็ดไม้ หรือทำให้กล้าไม้รากเน่า และกล้าไม้ที่เพาะใช้สำหรับแจกจ่ายในปีถัดไปไม่ได้ถูกกำหนดให้แจกจ่ายให้หมดภายในระยะเวลา 1 เดือนตามที่เป็นข่าว

สำหรับประเด็น ตามที่ระบุในข่าวว่ามีคำสั่งจากปลัดกระทรวงฯ ให้สอบอธิบดีฯ นั้น เรื่องนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด ซึ่งได้สอบถามไปยังปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ แล้วทราบว่าได้มีหนังสือร้องเรียนอธิบดี เกี่ยวกับการทุจริตเพาะชำกล้าไม้เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้ ดังกล่าวข้างต้น

ทั้งนี้หากปลัดกระทรวงฯ เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบในเรื่องนี้ ตนก็พร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบ เนื่องจากมั่นใจว่ากระบวนการทุกอย่างได้ดำเนินการโดยสุจริต โปร่งใส และถูกต้องตามขั้นตอน และขอเรียนยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ไม่มีการทุจริตเงินทอนตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน อีกทั้งตนเองยังเป็นผู้วางแนวทางการทำงานอย่างโปร่งใสให้กับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในยุคปัจจุบันจนทำให้ยอดการจัดเก็บเงินรายได้อุทยานแห่งชาติเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2557 ซึ่งจัดเก็บได้จำนวน 696 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเป็น 2,413 ล้านบาท ในปี 2560 และคาดว่าภายในสิ้นปี 2561 นี้จะมียอดการจัดเก็บเงินรายได้อุทยานฯ เฉียด 3,000 ล้านบาท จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันในความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของตน ในการสร้างความโปร่งใสให้กับองค์กร

อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ดำเนินการฟ้องร้องบุคคลที่เคยกล่าวหาเรื่องการทุจริตเพาะชำกล้าไม้ดังกล่าวข้างต้นมาแล้วครั้งหนึ่ง (นายสมัคร ดอนนาปี) โดยได้มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญาไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 เวลา 15.00 น. สำหรับกรณีที่มีการลงข่าวพาดพิงอีกครั้ง จะได้พิจารณาว่าการเสนอข่าวในครั้งนี้ ว่ามีเนื้อหาเป็นการเจตนาที่มุ่งหวังเพื่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงของตน และเป็นการสร้างความเข้าใจผิดแก่สังคมหรือไม่หากเป็นการจงใจเจตนาให้เกิดความเสียหายแก่ตนก็จะพิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป