ระยะเวลา 4 ปีเศษ คือช่วงเวลาซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ ฐนกร พนักงานโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ถูกเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นกษัตริย์ จากการโพสต์เฟซบุ๊กเสียดสี ‘ทองแดง’ สุนัขทรงเลี้ยง ของรัชกาลที่ 9 ซึ่งศาลจะอ่านคำพิพากษาว่าเขาจะกลายเป็นอาชญากรหรือไม่ในวันพรุ่งนี้ (13 ม.ค. 2563)
ฐนกร เป็นพนักงานโรงงาน ในจังหวัดสมุทปราการ ขณะที่เกิดเรื่องเขามีอายุ 27 ปี ในวันที่ 8 ธ.ค. 2558 ฐนกร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย เชิญตัวไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางปู ก่อนจะพาตัวไปที่สถานีตำรวจอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ ในช่วงค่ำ ต่อมามีเจ้าหน้าที่ีทหารในเครื่องแบบ เดินทางมารับฐนกรไปยังค่ายทหารแห่งหนึ่ง เพื่อควบคุมตัวไว้ 7 วัน โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558
เขาถูกควบคุมตัวจากการแชร์ผังทุจริตอุทยานราชภักดิ์ แต่ได้รับข้อกล่าวหา ม.112 เพิ่ม จากนั้นศาลทหารไม่ให้ประกันตัว ติดคุกนาน 3 เดือน
สาเหตุที่เขาถูกควบคุมตัวเกิดจากการแชร์ภาพแผนผังทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ในเฟซบุ๊ก แต่หลังจากถูกควบคุมตัวโดยทหารได้เพียงคืนเดียว ในวันต่อมา (9 ธ.ค. 2558) พล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับฐนกร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 116 และตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่เขาถูกควบคุมตัวโดยทหาร พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังได้ยื่นขอหมายจับเขาต่อศาลทหารด้วย จนกระทั่งครบระยะเวลา 7 วันของการควบคุมตัว พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นำตัวฐนกรมาฝากขังที่ศาลทหาร ซึ่งศาลทหารอนุญาตให้ฝากขัง หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง ฐนกรยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยวางเงินสด 300,000 เป็นหลักประกัน ซึ่งมาจากเงินระดมทุนของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ แต่ศาลยกคำร้องโดยระบุเหตุผลว่า คดีมีโทษสูงประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน เมื่อพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงให้ยกคำร้อง
ฐนกรถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ แม้ยังไม่มีการพิจารณาตัดสินว่าเขาเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ รวมทั้งสิ้น 86 วัน ก่อนที่เขาจะได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2559 หลังจากได้รับการประกันตัว ฐนกรตัดสินใจบวชพระเพื่อศึกษาพุทธศาสนาที่วัดแห่งหนึ่งในวันที่ 8 พ.ค. ขณะวันที่ 4 มี.ค. อัยการทหารเพิ่งยื่นฟ้องต่อศาลทหารในกรณีนี้
โดยอัยการทหารได้รบรรยายฟ้องว่าฐนกรทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาตรา 116 และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 รวมสามกรรม ได้แก่
1. จำเลยกดถูกใจ (like) แฟนพจ "ยืนหยัด ปรัชญา" บนเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ซึ่งมีการโพสต์ภาพและข้อความที่เข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เป็นความผิดตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา 112 และตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
2. จำเลยโพสต์ข้อความเกี่ยวกับสุนัขทรงเลี้ยงในลักษณะประชดประชันบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
3. จำเลยใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวโพสต์ภาพบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยข้อความประกอบภาพสรุปได้ว่าบุคคลในภาพเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการก่อสร้างอุทยานฯ เป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของบุคคลเหล่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จและอาจทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดจะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
ได้รับการประกันตัวไม่กี่วัน การคุกคามรอบใหม่ก็เริ่มขึ้น
หลังฐนกรออกบวชได้เพียง 4 วัน ในวันที่ 12 พ.ค. 2559 มีรายงานว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล นำกำลังตำรวจทหารฝ่ายปกครองเข้าตรวจค้นบ้านบุคคลเป้าหมายซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาวุธสงคราม หรือเป็นผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา ซึ่งมีการตรวจค้นบ้านของฐนกรซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการด้วย
โดยพ่อของฐนกรแจ้งกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า ในเวลาประมาณ 6.00 น. มีเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจมาที่บ้านและขออนุญาตตรวจค้นโดยไม่มีการแสงหมายหรือเอกสารใดๆ เพียงแต่บอกว่าได้รับเบาะแสว่า มีวัตถุหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายจึงมาตรวจค้น
หลังทำการตรวจค้นประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะยึดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของฐนกรและโทรศัพท์ของฐนกรไป โดยน้องสาวของฐนกรซึ่งอยู่ที่บ้านระหว่างที่มีการตรวจค้นระบุภายหลังว่าคอมพิวเตอร์ที่เจ้าหน้าที่ยึดไปเป็นคอมพิวเตอร์ที่ฐนกรซื้อให้ตนใช้งาน
นอกจากการยึดทรัพย์สิน เจ้าหน้าที่ยังสอบถามพ่อของฐนกรด้วยว่าขณะนี้ฐนกรอยู่ที่ไหนและมีการตรวจสอบพิกัดของวัดที่ฐนกรบวชอยู่ด้วย ทำให้พ่อของฐนกรเกรงว่าฐนกรจะถูกจับสึกและควบคุมตัว
สำหรับการพิจารณาคดีของฐนกรนั้นเริ่มต้นในศาลทหารโดยมีการนัดสอบคำให้การครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2559 จนกระทั่งมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 9/2562 การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจำเป็น ตามข้อ 2 ให้ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลทหาร ตามที่ระบุในบัญชีสองท้ายคำสั่งนี้ กำหนดให้คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลทหารตามประกาศและคำสั่งดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2562 เป็นต้นไป แต่ให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม คดีของฐนกรจึงถูกโอนมาที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการแทน และเริ่มพิจารณาคดีในศาลพลเรือนครั้งแรกในวันที่ 24 มิ.ย. 2563 เสร็จสิ้นในวันที่ 1 ต.ค. และศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 13 ม.ค. 2564 โดยศาลอธิบายด้วยว่า ต้องนัดเป็นเวลานานเนื่องจากคดีนี้ต้องส่งร่างคำพิพากษาให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคตรวจก่อนด้วย
ศาลทหารเคยสั่งลบคำให้การของพยานโจทก์ปากแรกจากเว็บศูนย์ทนายฯ-ไอลอว์
ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และไอลอว์ เคยแพร่คำให้การพยานโจทก์ปากแรก คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง โดยศาลทหารกรุงเทพออกหมายเรียกให้อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ไปไต่สวนเป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 3 ต.ค. 2561 โดยสอบถามว่า ทนายความจำเลยนำคำเบิกความที่ขอคัดถ่ายสำเนาจากศาลไปเผยแพร่ให้บุคคลภายนอกหรือไม่ ซึ่งทนายอานนท์ ตอบว่า เอกสารสำนวนเก็บไว้ที่สำนักงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและเจ้าหน้าที่จะนำไปสรุปเผยแพร่ก็ได้ เพราะเป็นสิทธิในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย
ระหว่างการไต่สวนมีการโต้เถียงเรื่องการตีความอำนาจในการออกข้อกำหนดเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะระหว่างศาลกับทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปแต่หลังไต่สวนแล้วศาลทหารก็ออกข้อกำหนดว่า ให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนลบรายงานข่าวดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ภายใน 24 ชั่วโมง และห้ามมิให้ใครก็ตามนำคำเบิกความพยานและการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลในคดีนี้ไปเผยแพร่ มิเช่นนั้นจะถือว่า ละเมิดอำนาจศาล และสั่งห้ามไม่ให้เผยแพร่รายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวด้วย
วันต่อมา อานนท์ ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบในวันที่ 3 ต.ค. 2561 ที่ศาลสั่งให้ลบรายงานออกจากเว็บไซต์ โดยให้เหตุผลว่า ทนายความไม่จำเป็นต้องขออนุญาตศาลก่อนนำคำเบิกความไปเผยแพร่ เพราะศาลทหารกรุงเทพไม่ได้สั่งพิจารณาคดีฐนกรเป็นการลับ การพิจารณาคดีจึงต้องทำโดยเปิดเผย เพื่อให้สาธารณชนได้ตรวจสอบความชอบธรรม และศาลได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมาย การรายงานข้อมูลดังกล่าวเป็นการเผยแพร่ข้อเท็จจริงในคดี ไม่ได้นำเอกสารคำเบิกความ หรือรายงานกระบวนพิจารณาของศาลทหารมาเผยแพร่ และเนื้อหาที่รายงานก็ตรงกับที่พยานได้เบิกความต่อศาล ไม่ได้บิดเบือนอันจะก่อให้เกิดความเสียหาย หรือทำให้กระทบต่อความยุติธรรมในคดี ทั้งพยานที่ถูกกล่าวหาในข่าวก็ไม่เคยทำหนังสือร้องเรียนหรือแจ้งว่าได้รับความเสียหายต่อศาลแต่อย่างใด
ศาลทหารกรุงเทพสั่งยกคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ พร้อมยืนยันคำสั่งเดิมให้ลบรายงานข่าวออกจากเว็บไซต์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยให้เหตุผลว่า คดียังอยู่ระหว่างพิจารณา การนำคำเบิกความของพยานไม่ว่าฝ่ายใดไปเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปทราบ ย่อมมีผลต่อการชี้นำสังคมให้รูปคดีเป็นไปตามที่ฝ่ายตนต้องการ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 36 (2) ที่ห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือบางส่วนแห่งคดี
ต่อมาศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งที่ให้ลบรายงานข่าวต่อศาลทหารกลางด้วย
ข้อมูลจาก