ไม่พบผลการค้นหา
กระทรวงสาธารณสุข เผยพบหญิงลักลอบเข้าไทยติดโควิดเพิ่มอีก 6 ราย ในจำนวนนี้ 1 ราย บินเข้า กทม. มาตรวจพบเชื้อที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 จากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา

นพ.ธงชัยกล่าวว่า ขณะนี้เราพบคนไทยจำนวน 10 ราย ที่ติดเชื้อโควิด 19 มาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา โดยเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติและเดินทางไปสถานที่ต่างๆ โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการกักตัวและรักษาในโรงพยาบาล อาการอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนผู้สัมผัสของผู้ป่วยทั้ง 10 ราย จากการตรวจหาเชื้อโควิด 19 เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีรายใดติดเชื้อ สรุปว่ายังไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศ เป็นการนำเข้าเชื้อมา

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบการควบคุมป้องกันโรคว่าจะไม่เกิดการระบาดเหมือนช่วงต้นปี 2563 เนื่องจากประเทศไทยมีองค์ความรู้และประสบการณ์มากขึ้น แต่ต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังภายในพื้นที่ของตนเองว่า มีคนไทยหรือชาวต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาโดยไม่ได้รับการกักกัน 14 วันหรือไม่ หากพบขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นผู้สัมผัสหรือเป็นผู้ติดเชื้อเองได้ และขอให้ทุกคนยังคงมาตรการป้องกันตนเอง โดยการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง

"ผู้ลักลอบเข้าประเทศมีความผิดตามกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่ไปทำงานในต่างประเทศและจะเดินทางกลับมา มีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศ ด้วยการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายตามช่องทางที่วางไว้ เพื่อเข้ารับการกักกัน 14 วัน และตรวจหาเชื้อ หากพบเชื้อจะได้รับการรักษา แต่หากลักลอบเข้ามาและไปในสถานที่ต่างๆ ทำให้มีผู้สัมผัสจำนวนมาก และต้องใช้งบประมาณสูงในการดำเนินการควบคุมสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัสมาตรวจหาเชื้อ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 2 พันบาทต่อราย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทุกที่ในประเทศไทย ด้วยคงมาตรการใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง" นพ.ธงชัยกล่าว


เปิดไทม์ไลน์ 6 หญิงลักลอบเข้าไทยติดโควิด

นพ.โสภณ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่มาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จำนวน 10 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยเก่าที่แถลงข่าวไปแล้ว 4 ราย คือ เพศหญิงอายุ 29 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพศหญิงอายุ 26 ปี 23 ปี และ 25 ปีที่จังหวัดเชียงราย จากการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสขณะนี้ยังไม่พบผู้ใดติดเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของรายที่เชียงใหม่ ที่มีการไปเที่ยวสถานบันเทิงด้วยกัน มีการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ก็ยังไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน สำหรับผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 6 ราย เป็นเพศหญิงทั้งหมด โดยเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงเดียวกันที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก มีรายละเอียดดังนี้

เพศหญิงอายุ 28 ปี จังหวัดพะเยา กลับเข้าประเทศไทยวันที่ 27 พ.ย. โดยเส้นทางธรรมชาติมายังอำเภอแม่สาย

  • วันที่ 28 พ.ย. เพื่อนขับจักรยานยนต์มาส่ง จากนั้นเหมารถแท็กซี่มาที่อำเภอเมืองเชียงราย พักห้องเช่าของเพื่อน มีออกไปซื้ออาหาร
  • วันที่ 29 พ.ย. อยู่ในห้องพัก ช่วงเย็นแฟนขับรถยนต์พาไปเที่ยวงานสิงห์ปาร์ค แต่อยู่เฉพาะลานเบียร์ จากนั้นไปโรงแรมที่พัก
  • วันที่ 30 พ.ย. ออกจากโรงแรมไปรับการตรวจหาเชื้อที่จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางกลับพะเยามาเข้ารับการรักษาในห้องแยกโรค โรงพยาบาลพะเยา
  • วันที่ 1 ธ.ค. ทราบผลว่าเป็นโควิด-19  

เพศหญิงอายุ 21 ปี กรุงเทพมหานคร

  • วันที่ 17-27 พ.ย. ไปเที่ยวสถานบันเทิงที่ท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อนที่อยู่จังหวัดพิจิตร
  • วันที่ 28 พ.ย. กลับเข้าประเทศไทยโดยเส้นทางธรรมชาติที่อำเภอแม่สายมีรถจักรยานยนต์รับจ้างมาส่งที่โรงแรม ต่อมาเริ่มมีไข้ เจ็บคอ น้ำมูก จากนั้นเรียกรถไปส่งที่สนามบินเชียงรายขึ้นเครื่องบินมาลงสนามบินดอนเมือง นั่งแท็กซี่กลับที่พัก
  • วันที่ 29 พ.ย. ไปรับการตรวจที่คลินิกแพทย์ได้รับคำแนะนำให้ไปโรงพยาบาล จึงนั่งรถยนต์ส่วนตัวมากับแฟนไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน ผลการตรวจพบเชื้อโควิด-19

เพศหญิงอายุ 25 ปี จังหวัดพิจิตร เป็นเพื่อนที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงที่ท่าขี้เหล็กกับรายกรุงเทพมหานคร

  • วันที่ 28 พ.ย.เดินทางกลับมาพร้อมกันจนถึงสนามบินดอนเมือง จากนั้นต่อเครื่องไปลงสนามบินพิษณุโลก มีเพื่อนมารับกลับจังหวัดพิจิตร พักอาศัยกับเพื่อนที่มารับ
  • วันที่ 28-30 พ.ย. มีออกไปรับประทานอาหารข้างนอกและทำเล็บ
  • วันที่ 1 ธ.ค. เมื่อทราบผลการสอบสวนโรคของรายกรุงเทพมหานคร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตรจึงติดตามมาตรวจหาเชื้อ นำเข้าสู่การกักกัน และ ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ

เพศหญิงอายุ 36 ปี จังหวัดราชบุรี

  • วันที่ 3-28 พ.ย. อยู่ที่เมียนมา โดยวันที่ 23-24 พ.ย.ไปเที่ยวสถานบันเทิง แล้วสังเกตว่าเพื่อนร่วมห้องเริ่มมีอาการป่วย
  • วันที่ 26 พ.ย. เริ่มมีอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ จึงซื้อยามากิน
  • วันที่ 29 พ.ย. เดินทางกลับประเทศไทยโดยช่องทางธรรมชาติ จากนั้นไปสนามบินเชียงรายด้วยรถยนต์ของเพื่อน นั่งเครื่องบินถึงสนามบินดอนเมือง ขึ้นแท็กซี่ไปสถานีขนส่งหมอชิต นั่งรถตู้กลับจังหวัดราชบุรี เมื่อถึงใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้างไปโรงพยาบาลเอกชนเพื่อตรวจรักษา
  • วันที่ 1 ธ.ค. ทราบผลว่าเพื่อนติดเชื้อโควิด-19 แพทย์จึงส่งตรวจหาเชื้อและส่งต่อรักษาโรงพยาบาลราชบุรี
  • วันที่ 2 ธ.ค. ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ

เพศหญิงอายุ 23 ปี และ 25 ปี จังหวัดเชียงใหม่

  • วันที่ 26 พ.ย.เดินทางกลับเข้าประเทศทางช่องทางธรรมชาติ พร้อมเพื่อนรวมเป็น 3 คน
  • วันที่ 27 พ.ย. นอนค้างบ้านเพื่อนที่อำเภอแม่สาย
  • วันที่ 28 พ.ย. เดินทางกลับมาที่พักที่เชียงใหม่
  • วันที่ 29 พ.ย. ให้ประวัติว่าอยู่ในที่พักตลอด
  • วันที่ 30 พ.ย. ผู้ติดเชื้อที่พะเยามาหาหลังจากไปตรวจหาเชื้อ
  • วันที่ 1 ธ.ค. ไปฟังผลแทนเพื่อนพบว่าราย จ.พะเยาติดเชื้อ ทำให้เพื่อน 2 คนมารับการตรวจด้วย ผลพบติดเชื้อ 2 ราย เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลนครพิงค์ ส่วนอีกรายผลเป็นลบ อยู่ระหว่างการกักกันเฝ้าระวังอาการ

นพ.โสภณกล่าวว่า ทั้งหมดเป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ โดยกำลังเร่งติดตามผู้สัมผัสทุกราย ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายมีผู้สัมผัสมากน้อยต่างกัน หากมีความรับผิดชอบสูงจะแยกตัว มีกิจกรรมภายนอกน้อย ทำให้มีผู้สัมผัสน้อย แต่บางรายมีการออกไปทำกิจกรรมจำนวนมากทำให้มีผู้สัมผัสมากถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจะได้รับการกักกัน 14 วัน และตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำจะให้แยกตนเองเฝ้าระวังอาการ หากมีอาการให้รีบติดต่อเพื่อตรวจหาเชื้อ โดยเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานของทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยทั้งหมด 10 ราย พบว่า ไม่มีอาการ 5 ราย ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อน้อยกว่าผู้ที่มีอาการ ส่วนอีก 5 รายมีอาการแต่ไม่รุนแรง สำหรับผู้ที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องอยู่ใกล้ชิดหรืออยู่ในสถานที่เสี่ยงเดียวกับผู้ป่วยทั้ง 10 รายนี้ ขอให้ไปแสดงตัวกับบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลเพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนเอง


ศบค.พบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 18 ราย

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศว่า รอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้ป่วยรายใหม่ 18 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 4,026 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 11 ราย รวมหายป่วยแล้ว 3,822 ราย โดยมีผู้ป่วยพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 144 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตคงเดิมอยู่ที่ 60 ราย

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 18 รายนั้น เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และเข้าพักในสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine แบ่งเป็น ตุรกี 1 ราย คูเวต 1 ราย เยอรมนี 1 ราย อียิปต์ 1 ราย อิสราเอล 1 ราย ญี่ปุ่น 2 ราย สวีเดน 1 ราย ซูดาน 1 ราย สวิตเซอร์แลนด์ 5 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย เมียนมา 2 ราย และผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา 1 ราย


นายกฯ กำชับคุมเข้มห้ามลักลอบเข้าเมือง

ประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นห่วง และสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ประจำเขตแดนเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มงวด การลักลอบเข้าเมืองถือเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ พร้อมกำชับมาตรการการจัดการ สถานที่กักตัวทางเลือกแห่งรัฐสำหรับชาวต่างชาติ ASQ ให้ประชาชนเชื่อมั่น มั่นใจ ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี 

ประทีป ยืนยันว่า ต่อกรณีผู้ป่วยหญิงไทยที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 ได้ส่งตัวไปรักษาและติดตามกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย เพื่อตรวจคัดกรองโรคแล้ว กว่า 100 ราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มเติม ในส่วนของประชาชน และอาสาสมัครสาธารณสุข ขอให้ช่วยกันดูแลหมู่บ้าน ชุมชน ของตน หากพบคนแปลกหน้า ต้องตรวจสอบว่าเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ ผ่านกระบวนการควบคุมโรคอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งตามมาตรการป้องกันและสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้น รัฐบาลได้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดเพิ่มเติม ดำเนินการตรวจคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวดจึงขอให้ประชาชนไม่ต้องเป็นกังวล แต่เป็นกำลังสำคัญของรัฐในการช่วยกันสอดส่องดูแล


ย้ำไทยดำเนินมาตรการเคร่งครัด ขอปชช.มั่นใจ

ในส่วนของมาตรการจัดสถานที่กักตัวทางเลือกแห่งรัฐสำหรับชาวต่างชาติ (Alternative State Quarantine : ASQ) ประทีป กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อข้อห่วงกังวลของประชาชนในพื้นที่ โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างรัดกุม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน โดยขณะนี้โรงแรมที่อยู่ในส่วนของ ASQ มีจำนวน กว่า 100 แห่ง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล ไม่ตระหนก พร้อมท่องเที่ยวอย่างผ่อนคลายในช่วง High Season 

ประทีป ย้ำชัดว่า ไทยดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด มีการจัดการตามมาตรการที่ดี ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จนทำให้ประเทศไทยตั้งมั่นได้เร็วในการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยจึงพร้อมเริ่มดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ไม่มีประเด็นน่าห่วงกังวล


นกแอร์ ย้ำรักษามาตรฐานการป้องกันอย่างรัดกุม

สายการบินนกแอร์ ชี้แจงว่า ตามรายงานข่าวที่มีผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 เดินทางจากจังหวัดเชียงรายมายังท่าอากาศยานดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ด้วยเที่ยวบิน DD 8717 ในวันที่ 28 พ.ย. 2563 เมื่อเวลา 13.40- 14.50 น. นั้น สายการบินนกแอร์ ขอแจ้งรายละเอียดการปฏิบัติเมื่อได้รับแจ้งจากด่านควบคุมโรค ท่าอากาศยานดอนเมือง กระทรวงสาธารณสุขว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นดังนี้

1. ส่งรายชื่อผู้โดยสาร นักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่อง พนักงานทุกฝ่ายทุกคนที่อยู่ในข่ายต้องตรวจสอบและเฝ้าระวังไปให้กระทรวงสาธารณสุขโดยทันทีที่ได้รับแจ้ง ตามขั้นตอนที่ทางราชการกำหนด โดยกระทรวงสาธารณสุขจะได้ทำการติดตาม ตรวจสอบและแจ้งเตือนผู้อยู่ในข่ายต้องสงสัยต่อไป

2. สั่งให้มีการตรวจและกักตัว 14 วันโดยทันทีสำหรับ นักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่อง และพนักงานทุกคนที่มีอยู่ในข่ายมีความเสี่ยง และเมือครบกำหนด 14 วันต้องทำการตรวจหาเชื้อ พร้อมนำใบรับรองแพทย์ มาแสดงต่อฝ่ายบุคคลก่อนกลับเข้ามาปฏิบัติงาน ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

3. สายการบินมีมาตรการทำความสะอาดและพ่นฆ่าเชื้อภายในเครื่องในสถานการณ์ COVID-19 ทุกเที่ยวบิน และได้สั่งเพิ่มการฆ่าเชื้อบนเครื่องบินลำดังกล่าวเพิ่มเติมเป็นพิเศษทันที

เพื่อให้ผู้โดยสารรู้สึกมั่นใจกับการเดินทางด้วยเครื่องบิน มาตรการที่สายการบินนกแอร์ได้ยึดถือปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดโดยตลอดมาตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้นนั้นคือ

1. พนักงานสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันหน้ากากอนามัยและถุงมือยางทุกคน

2. ขอให้ผู้โดยสารใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเดินทาง

3. ทำ Social Distancing ในทุก ๆ ขั้นตอนของการเดินทาง

4. เครื่องบินนกแอร์ใช้ระบบกรองอากาศแบบ HEPA Filter ซึ่งมีประสิทธิภาพดักจับไวรัสและแบคทีเรียได้มากกว่า 99.77%

5. ทำความสะอาดแบบ Deep Cleaning พื้นผิวสัมผัส 34 จุด ที่ผู้โดยสารและลูกเรือมีโอกาสสัมผัสบ่อย รวมถึงการทำความสะอาดแบบขั้นสูงสุดในทุก ๆ คืนหลังจากเที่ยวบินสุดท้าย

6. เพิ่มอุปกรณ์พื้นฐานบนเครื่องบิน เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ถุงมือยาง สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค และ ชุดทำความสะอาดทางชีวภาพ (Universal Precaution Kit)



ข่าวที่เกี่ยวข้อง :