ไม่พบผลการค้นหา
อนุกรรมการบริหารอีอีซีตามติดความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน จี้หน่วยงานเกี่ยวข้องวางกรอบเวลาส่งมอบพื้นที่เอกชน-รับทราบ ม.บูรพาขอส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการแพทย์จีโนมิกส์ ตัดกรอบวงเงิน 750 ล้านบาทพัฒนาแพทย์เฉพาะทาง-จับมือเอกชนกำจัดขยะยั่งยืน

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) เปิดเผยผลการประชุมวันที่ 18 พ.ย. ระบุว่า ที่ประชุมซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมประชุม ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้า การดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 

3รัฐมนตรี-อีอีซี

ตามความคืบหน้ารถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน

โดยได้รับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หลังจากการลงนามร่วมลงทุนโครงการฯ เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาโครงการ เป็นไปตามสัญญาร่วมลงทุน โดยคณะทำงานส่งมอบพื้นที่ฯ ซึ่งมีปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ได้ประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา พิจารณาแผนเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค ตามที่ กบอ. เห็นชอบในหลักการแล้ว 

ส่วนคณะทำงานส่งมอบพื้นที่ฯ ได้พิจารณากิจกรรมที่จำเป็นของทุกหน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) การประปานครหลวง (กปน.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งประกอบด้วย การเวนคืน การโยกย้ายผู้บุกรุก การรื้อย้ายสาธารณูปโภค การก่อสร้างทดแทน ช่วงดอนเมือง – พญาไท และลาดกระบัง - อู่ตะเภา และได้กำหนดระยะเวลาทำงานให้สอดรับกับกรอบกำหนดเวลาตามแผนการส่งมอบพื้นที่ 

พร้อมกันนี้ยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล คณะกรรมการบริหารสัญญา และโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อให้การบริหารสัญญาโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นโครงการ ฯ ที่มุ่งเน้นการออกแบบและการก่อสร้างเป็นหลัก ซึ่งจะได้นำเสนอ กพอ. พิจารณาต่อไป 

ชงจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษด้านการแพทย์จีโนมิกส์ ลงทุน 1,250 ลบ.

เรื่องที่สอง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษด้านการแพทย์จีโนมิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุน และสร้างความรู้ทางการแพทย์จีโนมิกส์ที่จำเป็นให้แก่ประเทศ นำไปสู่การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพ รวมถึงการสร้างเมดิคัลฮับ ด้านการแพทย์จีโนมิกส์ 

โดย สกพอ. พิจารณาความเหมาะสมการจัดตั้งพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษด้านการแพทย์จีโนมิกส์ ตามคำขอการจัดตั้งจากมหาวิทยาบูรพา เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ และนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง มีพื้นที่โครงการฯ ประมาณ 3.8 ไร่ เป็นอาคารรวม 12 ชั้น พื้นที่อาคารรวมประมาณ 24,000 ตารางเมตร มีการลงทุนในระยะแรก 1,700 ตารางเมตร และมีเงินลงทุนเครื่องมือทางด้านเทคนิคเพื่อนำไปสู่การให้บริการจากเอกชน ประมาณ 1,250 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนจาก สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะได้นำเสนอ กพอ. พิจารณาต่อไป

อีกด้านหนึ่งมีโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยที่ประชุม ได้พิจารณาหลักการโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่อีอีซี (Thailand Genome Sequencing Center) เพื่อสร้างความรู้ พัฒนาการให้บริการด้านแพทย์จีโนมิกส์ (Genomics Medicine) นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น เพื่อให้มีหน่วยงานจีโนมิกส์แห่งประเทศไทย (Genomics Thailand) ซึ่งเกิดประโยชน์ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ช่วยดูแลรักษาสุขภาพประชาชนลดภาวะแทรกซ้อน ลดการป่วย และลดค่าใช้จ่ายการรักษาที่ไม่แม่นยำ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูงไว้บริการ ใน Medical Hub และด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในประเทศไทย 

พร้อมกับเสนอให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เห็นชอบ กรอบวงเงิน 750 ล้านบาท ให้แก่โครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ให้แก่ กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ทุกปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เพื่อซื้อบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม จำนวน 50,000 ราย รายละไม่เกิน 15,000 บาท โดยให้ สกพอ. ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการ พร้อมเร่งศึกษารูปแบบ แนวทางการจัดตั้ง และบริหารจัดการ 

จับมือท้องถิ่นแก้ปัญหาขยะให้จบภายใน 3 เดือน ชี้ปัจจุบันมีขยะวันละ 6,800 ตัน

เรื่องที่สาม การจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณขยะมูลฝอยในพื้นที่อีอีซี ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 4,200 ตัน/วัน ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 6,800 ตัน/วัน ในปี 2580 แต่การจัดการขยะในปัจจุบันยังขาดประสิทธิภาพ และไม่เพียงพอกับปริมาณขยะที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีฝังกลบ ซึ่งเกิดผลเสียจากปัญหาการใช้พื้นที่เป็นบริเวณกว้างจนไม่สามารถรองรับขยะที่เกิดขึ้น และขยะสะสมใหม่ได้ อีกทั้งเกิดผลกระทบต่อการปนเปื้อนน้ำใต้ดินจากการรั่วซึม ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี เกิดประสิทธิภาพและยั่งยืน 

ด้วยเหตุนี้ กบอ. จึงได้พิจารณามอบให้ สกพอ.ประสานจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อเสนอโครงการจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี สู่ต้นแบบการกำจัดขยะอย่างยั่งยืน ทั้งขยะบก ขยะบนเกาะ และขยะในทะเล ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และให้กลุ่มบริษัท ปตท. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด มหาชน (GPSC) เข้าร่วมในการศึกษาเพื่อพัฒนาการลงทุนโครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร ในปริมาณตามความต้องการ 

พร้อมกับให้จังหวัดในพื้นที่อีอีซี เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งโรงงานขยะ และโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ โดยให้กระทรวงพลังงานพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะได้นำเสนอ กพอ. พิจารณาต่อไป