ไม่พบผลการค้นหา
บีบีซีวิจารณ์การที่ศาลไทยตัดสินให้เด็กอุ้มบุญ 13 คนกลับไปอยู่กับพ่อชาวญี่ปุ่น ทั้งที่การอุ้มบุญยังคงเป็นเรื่องผิดกฎหมายในไทย ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรมของธุรกิจการอุ้มบุญ

สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตัดสินให้นายมิตสุโตกิ ชิเกะตะ ทายาทบริษัทธุรกิจไอทียักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นเป็นพ่ออย่างชอบธรรมของเด็ก 13 คน เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยหญิงไทยที่เขาจ้างให้อุ้มบุญไม่มีสิทธิใดๆ ในตัวเด็กทั้ง 13 คน และเขาเองก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือมีเจตนาร้ายในการมีลูกอุ้มบุญจำนวนมาก

คดีเด็กอุ้มบุญ 13 คนของนายชิเกะตะดังขึ้นมา หลังเกิดคดีน้องแกมมี เด็กอุ้มบุญของคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลียที่เป็นดาวน์ซินโดรม ทำให้เด็กถูกทิ้งไว้กับแม่อุ้มบุญในไทย จนเจ้าหน้าที่บุกทลายคลินิก All-IVF ของนายแพทย์พิสิฐ ตันติวัฒนกุล ซึ่งเป็นแพทย์ที่รับทำเด็กอุ้มบุญทั้ง 13 คนให้กับนายชิเกะตะ ซึ่งเดินทางออกจากไทยไปแล้ว หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่พบเด็กทั้งหมดในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งโดยมีพี่เลี้ยงช่วยดูแล จนเด็กถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของรัฐในเดือนสิงหาคมปี 2014 และในเวลาไล่เลี่ยกัน ตำรวจพบว่าเขามีลูกอุ้มบุญอยู่ก่อนแล้ว 2 คนในกัมพูชา และอีก 4 คนในญี่ปุ่น ซึ่งขณะนั้น นายชิเกะตะเป็นชายโสดที่มีอายุเพียง 24 ปี จึงมีการตั้งข้อสงสัยว่าเขาอาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

โดยนิวไลฟ์ บริษัทตัวแทนอุ้มบุญในจอร์เจีย เปิดเผยว่านายชิเกะตะได้ติดต่อนิวไลฟ์ไปเมื่อ ปี 2011 โดยระบุว่าเขาต้องการมีลูกอุ้มบุญมากกว่า 1,000 คน ให้มีการอุ้มบุญประมาณ 10-20 คนต่อปี และตัวเขามีพาสปอร์ต 10 เล่ม สามารถจดสูติบัตรให้ลูกผ่านสถานทูตต่างๆ ได้ บริษัทจึงหยุดติดต่อกับเขาเพราะกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเด็ก และเกรงว่านายชิเกะตะจะเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

ในขณะที่ทนายความของนายชิเกะตะโต้แย้งว่าลูกความเพียงต้องการมีครอบครัวใหญ่ และการเป็นลูกชายคนโตของเศรษฐีบริษัทเทคโนโลยีก็ทำให้เขามีกำลังจะเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งหมดได้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงของนายชิเกะตะว่าเหตุใดเขาจึงต้องการมีลูกนับพันคน และศาลก็ไม่ได้ระบุเกี่ยวกับความตั้งใจที่แปลกประหลาดนี้ของเขา

นอกเหนือจากความตั้งใจอยากมีลูก 1,000 คน ก็ยังไม่มีเหตุผลไหนที่จะขัดขวางไม่ให้ลูก 13 คนไปอยู่กับนายชิเกะตะ เพราะเขาไม่มีประวัติอาชญากรรม เขามีบัญชีทรัพย์สินมหาศาลในสิงคโปร์ มีการเตรียมบ้านพักและโรงเรียนให้กับลูกไว้แล้ว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ไทยที่ไปตรวจสอบลูกของนายชิเกะตะในญี่ปุ่น 4 คนก็พบว่าลูกต่างมีความรักความผูกพันให้กับนายชิเกะตะ ดังนั้น การให้เด็กทั้ง 13 คนอยู่กับพ่อที่มีฐานะมั่นคงก็ย่อมดีกว่าการให้เด็กอยู่ในความดูแลของรัฐไทย

ในปี 2015 ไทยเพิ่งผ่านกฎหมายจำกัดให้ผู้มีสิทธิ์ว่าจ้างบุคคลอื่นตั้งครรภ์แทนได้จะต้องเป็นคู่สามีภรรยาเท่านั้น ส่วนหญิงที่จะตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตในครอบครัวของทางฝ่ายสามีหรือภรรยา แต่ต้องไม่ใช่พ่อแม่หรือลูกสืบสายโลหิต รวมถึงแบนการอุ้มบุญแบบเป็นธุรกิจ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 10 ปี ทำให้ธุรกิจการอุ้มบุญย้ายไปที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาจึงออกมาตรการปราบปราม ก่อนที่ธุรกิจนี้จะย้ายไปที่ลาวแทน

อย่างไรก็ตาม ไทยก็ยังมีการแพทย์ที่ปลอดภัยและราคาถูก ทำให้คู่รักทั้งหลายต้องการให้หญิงที่ตั้งครรภ์แทนอยู่ในไทย จึงมีกรณีที่หญิงไทยเดินทางไปชายแดนลาวเพื่อรับอุ้มบุญ หรือมีเว็บไซต์ของไทยที่รับบริจาคไข่และปฏิสนธิก่อนจะส่งไปที่ลาว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม