ไม่พบผลการค้นหา
เลขา สมช.เผยผ่อนคลายเฟส 3 มีข่าวดี ศบค.จ่อลดเวลาเคอร์ฟิว 1 ชั่วโมง ผ่อนคลายกิจกรรมในห้างสรรพสินค้า โรงหนัง นวดแผนโบราณ

พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 เปิดเผยว่า มาตรการผ่อนคลายในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระยะที่ 3 ให้กับกิจกรรมและกิจการ ที่จะเข้าสู่การประชุมของ ศบค.คณะใหญ่ในวันที่ 29 พ.ค. นี้ จะพิจารณาผ่อนคลายให้มีประชาชนสามารถมีกิจกรรมมากขึ้น ทั้งในกิจการ กิจกรรมที่ผ่อนคลายบางส่วนไปแล้วและผ่อนคลายเพิ่มเติมในบางกิจการ กิจกรรมที่ยังไม่ได้รับการผ่อนคลายใน 2 ระยะที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุม ศบค คณะใหญ่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมเป็นประธานการประชุมในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. วันที่ 29 พ.ค.นี้จะพิจารณาและได้ผลสรุปที่ชัดเจนว่า กิจกรรมและกิจการใดจะได้รับการผ่อนคลายเพิ่มเติม รวมถึงจะพิจารณาเวลาเคอร์ฟิว ที่จะลดเวลาเคอร์ฟิวลง 1 ชั่วโมง เพื่อเป็นการผ่อนคลายมากขึ้น 

โดยข้อมูลและความเห็นของการประชุมของคณะกรรมการเฉพาะกิจ ที่ได้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเสนอต่อ ที่ประชุม ศบค.คณะใหญ่พิจารณาตัดสินนั้น จะเป็นกลุ่มกิจกรรม กิจการที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ต้องเสนอข้อมูล ความเห็นและพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในขณะเดียวกันขอเน้นย้ำให้ประชาชนต้องป้องกันตนเองตามมาตราการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย อย่างเคร่งครัดยิ่งขึ้น เพราะยิ่งผ่อนคลายก็ยิ่งต้องดูแล และปฎิบัติตามมาตรการไม่ละหลวม โดยเฉพาะต้องใช้แอปพลิเคชันเพื่อการติดตาม เฝ้าระวังมากขึ้นตามไปด้วย 

สำหรับกิจการ กิจกรรมที่คาดว่าจะได้รับการผ่อนคลาย ในระยะที่ 3 จะเป็นการผ่อนคลายเพิ่มเติม อาทิ ห้างสรรพสินค้า ซึ่งอาจขยายผ่อนคลายโรงภาพยนตร์ นวดแผนโบราณ ที่ต้องมีการปรับรูปแบบการให้บริการ ผ่อนคลายการเดินทางไปต่างจังหวัดของประชาชน  

ขณะที่ โรงเรียนกวดวิชา สวนน้ำ สวนสนุก อาจยังต้องให้มีการรอและพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้งเพราะ ยังเป็นกลุ่มกิจกรรมกิจการที่มีความเสี่ยงอยู่ ซึ่งทั้งหมดต้องรอความชัดเจน อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (29 พ.ค.) และทุกประเภทกิจการกิจกรรมจะได้รับการผ่อนคลายหมดในช่วงเดือน มิ.ย. นี้

นายกฯ หวังทุกฝ่ายร่วมมือผ่อนคลายสู่เฟส 4 วอนอย่าการ์ดตก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการผ่อนคลายกิจกรรม กิจการ ในระยะที่ 3 ซึ่งจะมีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ในวันที่ 29 พ.ค. ว่า ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยยืดสิ่งสำคัญคือ จะต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ให้ได้ แต่ยอมรับมีความเป็นห่วงในเรื่องของเศรษฐกิจ รวมถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่ขณะนี้รัฐบาลได้มีการเยียวยาช่วยเหลือไปมากที่สุดแล้ว รวมถึงใช้งบประมาณที่สูงในการดำเนินการครั้งนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหามาตรการที่จะมาผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือทุกกลุ่ม แต่การ์ดจะต้องไม่ตก รวมถึงมาตรการที่ทางรัฐบาล และทางด้านสาธารณสุขออกมาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะมาตรฐานกลางที่รัฐบาลได้วางไว้ ไม่ว่าจะเปิดโรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆ ทำการค้าขายก็จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งรัด ซึ่งหากร่วมมือกันเช่นนี้ ก็จะเดินหน้าไปสู่การผ่อนคลายในระยะที่ 4 ได้ ซึ่งอยากให้ถึงระยะที่ 4 โดยเร็วที่สุด แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในต่างประเทศ ต้องค่อยๆ ดำเนินการผ่อนปรน ไม่ปล่อยเร็วเกินไปจนเกิดปัญหา

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตลอดเดือน มิ.ย.นั้น ก็เพื่อให้ทุกพื้นที่ปลอดภัย แม้ ส.ส. จะไม่เห็นด้วย ก็เพื่อควบคุมพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ดังนั้นจึงขอย้ำว่ารัฐบาล มีความพยายามที่ปลดล็อกกิจกรรม กิจการ ระยะที่ 3 ให้ได้มากที่สุด แต่บางสิ่งจำเป็นต้องปิดจึงต้องขอความร่วมมือให้มากที่สุด เพราะไม่อยากให้เกิดความเจ็บป่วย จึงขออยากให้อดทนได้ โดยเฉพาะกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เพราะตนมีหน้าที่ดูแลประชาชนโดยรวม ยอมรับไม่สบายใจ แต่สิ่งที่ทำมาแล้วจะต้องไม่เกิดความเสียหาย ประชาชนปลอดภัยมากที่สุด โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ที่มีการเดินทางข้ามแดนเข้ามา ก็ต้องเข้าสู่สถานที่กักกันตัว หากปล่อยเข้ามา ตัวเลขก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็อยู่ในกรอบที่รัฐบาลและด้านสาธารณสุขดูแลได้ จึงได้มีการเพิ่มจำนวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งวันนี้เพิ่มเป็น 500 คนต่อวัน และยอมรับส่งผลต่อความมั่นคงในประเทศ แต่หากทุกคนเครพกฏหมาย ก็จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ เช่นเดียวกับการเดินทางของคนไทย กลับจากต่างประเทศ 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า จะมีการยกเลิกบางข้อกำหนดใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัดได้ ซึ่งได้พยักหน้าและบอกว่า ก็พิจารณาอยู่ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผู้เชียวชาญด้านสาธารณสุข ได้ดูในเรื่องนี้

พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุว่า ได้รับทราบความคืบหน้ากรณีขบวนการหักหัวคิวสถานกักกันของรัฐแล้ว และส่งรายชื่อผู้ที่ถูกร้องเรียนว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง 3 -4 คน ให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ยืนยันเป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน ซึ่งต้องช่วยกัน และเป็นเรื่องดีแล้วที่มีการแจ้งข้อมูลเข้ามา