ปริศนาเครื่องบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์หายสาบสูญ ทำให้หลายๆ คนหันมาให้ความสนใจกับทฤษฎีเครื่องบินหายที่เก่าแก่อย่าง "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" กันมากขึ้น
ปริศนาเครื่องบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์หายสาบสูญ ทำให้หลายๆ คนหันมาให้ความสนใจกับทฤษฎีเครื่องบินหายที่เก่าแก่อย่าง "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" กันมากขึ้น แต่ปริศนาหลุมดำที่เบอร์มิวดาในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องลี้ลับอีกต่อไป อะไรคือสาเหตุที่ทำให้พื้นที่แถบนั้นกลืนกินเครื่องบินและเรือ รวมถึงชีวิตคนอีกนับร้อย
เมื่อพูดถึงเรื่องลี้ลับเกี่ยวกับหลุมดำหรือมิติพิศวง ที่ทำให้คนหลุดจากโลกหนึ่งไปสู่อีกมิติ คงไม่มีใครไม่รู้จัก "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" พื้นที่ปริศนาทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเกาะเบอร์มิวดา คาบสมุทรฟลอริดา และเปอร์โตริโก กินพื้นที่ไม่แน่นอน ตั้งแต่ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร ถึง 3 ล้านตารางกิโลเมตร ผืนน้ำกว้างใหญ่นี้กลืนกินเรือสินค้า เรือรบ และเครื่องบินไปเป็นจำนวนมากตลอดเวลานับร้อยปีที่ผ่านมา และมีผู้คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดากว่า 600 ราย จนที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็น Devil's Triangle หรือ "สามเหลี่ยมปิศาจ"
มีหลากหลายทฤษฎีที่ตั้งขึ้นมาเพื่ออธิบายปริศนาของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ตั้งแต่เรื่องเหลือเชื่ออย่างทฤษฎีที่ว่าการหายตัวไปของลูกเรือและนักบินเกิดจากการลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาว และทฤษฎีแอตแลนติส ที่อธิบายว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเคยเป็นที่ตั้งของทวีปที่สาปสูญ และเทคโนโลยีของแอตแลนติสที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรก็ส่งคลื่นรบกวนจนทำให้เรือหรือเครื่องบินที่แล่นผ่านบริเวณนั้นเกิดเหตุขัดข้องจนจมลงสู่ก้นทะเล
นอกจากนี้ ยังมีทฤษฎีที่พยายามใช้หลักวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยาอธิบายปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เช่นทฤษฎีที่ว่าบริเวณดังกล่าวมีสนามแม่เหล็กแปรปรวน ทำให้เข็มทิศเรือและเครื่องบินผิดปกติ จนนำไปสู่การหลงออกนอกเส้นทางและจมสู่ทะเลในที่สุด หรือทฤษฎีที่ว่ากระแสน้ำอุ่นในอ่าวเม็กซิโกที่เชี่ยวกราก บวกกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ทำให้เรือและเครื่องบินที่เดินทางในบริเวณนั้นประสบอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น
แต่ทฤษฎีปรากฏการณ์ธรรมชาติเหล่านี้ก็มีจุดอ่อน นั่นก็คือในอันดับ 10 น่านน้ำอันตรายสำหรับการขนส่งสินค้าที่จัดโดย World Wide Fund For Nature เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา ไม่มีสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาติดอันดับด้วย และนักวิชาการที่รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางเรือและอากาศทั่วโลก ก็พบว่าบริเวณนี้ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าพื้นที่อื่นๆของโลก พิสูจน์ได้จากการที่บริษัทชิปปิ้งระดับโลกไม่มีรายไหนคิดราคาค่าขนส่งเพิ่มเป็นกรณีพิเศษหากต้องเดินทางผ่านสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
แต่ล่าสุด มีการตั้งทฤษฎีใหม่ที่เรียบง่ายแต่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าทุกทฤษฎี เกี่ยวกับการอธิบายเครื่องบินที่หายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นก็คือทฤษฎีที่ว่าเครื่องบินที่หายไป เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิกหรือน้ำมันหมด จนตกสู่ทะเล โดยไม่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศแปรปรวนแต่อย่างใด
ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เครื่องบินจะตกเพราะน้ำมันหมด แต่เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ทั่วไปในอดีตยุคหลังสงครามโลกที่เทคโนโลยีการบินยังไม่ก้าวไกลเท่าทุกวันนี้ เส้นทางการบินลอนดอน-เบอร์มิวดา เคยเป็นเส้นทางการบินที่ใหม่และอันตรายที่สุดในโลก เครื่องบินต้องแวะพักเติมน้ำมันที่เกาะกลางมหาสมุทร ก่อนบินในระยะทาง 2,000 ไมล์ไปยังเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเส้นทางบินตรงที่ยาวที่สุดในโลก ในระหว่างนี้ หากเครื่องบินบินช้ากว่ากำหนด หรือเกิดเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนจนออกนอกเส้นทาง ก็มีโอกาสสูงมากที่เครื่องจะหลงทางจนน้ำมันหมดและตกสู่มหาสมุทร โดยมีกระแสน้ำอุ่นที่เชี่ยวกรากช่วยพัดพาเศษซากเครื่องบินให้หายไปโดยไม่มีใครทราบชะตากรรม
หากลองใช้ทฤษฎีนี้มองย้อนกลับมาที่กรณีเครื่องบินหายล่าสุดที่เกิดกับเครื่อง MH 370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์ ก็เป็นไปได้ว่าเบื้องหลังการสูญหายของเครื่องบินไม่มีอะไรซับซ้อนเป็นทฤษฎีสมคบคิดเหมือนที่กำลังโจษจันกันในเวลานี้ นอกจากเครื่องประสบเหตุขัดข้อง และตกลงกลางทะเลโดยจมหายไปทั้งลำ ไม่เหลือเศษซากให้ค้นพบ
แต่หากเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง คำถามสุดท้ายที่มาเลเซียแอร์ไลน์และบริษัทโบอิงเจ้าของเครื่องบินต้องตอบ ก็คือเหตุขัดข้องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในยุคที่นวัตกรรมการบินก้าวไกลกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนแบบฟ้ากับเหวเช่นนี้