อุบัติเหตุปริศนาที่เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์หายสาบสูญกลางทะเล ไม่ใช่กรณีแรกในประวัติศาสตร์การบินนานาชาติ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
อุบัติเหตุปริศนาที่เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์หายสาบสูญกลางทะเล ไม่ใช่กรณีแรกในประวัติศาสตร์การบินนานาชาติ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เครื่องบินของสายการบินแอร์ฟรานซ์ ก็ประสบชะตาเดียวกัน และต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าจะไขปริศนาการหายไปของเครื่องบินได้สำเร็จ เราจะย้อนกลับไปดูอุบัติเหตุครั้งนั้น
ปริศนาเครื่องบินหาย อาจจะดูเหมือนเป็นแค่เรื่องลึกลับสยองขวัญในภาพยนตร์ ที่เครื่องบินหลุดไปสู่มิติที่ 4 ผ่านสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา แต่เหตุการณ์เครื่องบินโบอิง 777 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หายสาบสูญไปกลางทะเลพร้อมกับอีก 239 ชีวิต ระหว่างการเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย ไปยังกรุงปักกิ่งของจีน กลายเป็นเหตุสะเทือนขวัญที่ทำให้คนทั่วโลกตระหนักว่าปรากฏการณ์เครื่องบินหายในความเป็นจริงนั้น น่าเศร้ายิ่งกว่าในภาพยนตร์หลายเท่า เนื่องจากสิ่งที่เกือบจะแน่นอนว่าต้องหายไปพร้อมกับเครื่องบิน ก็คือชีวิตของลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมด ที่ยากจะเหลือรอด โดยเฉพาะเมื่อเครื่องขาดการติดต่อไปนานเกิน 72 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเส้นตายที่คนที่เหลือรอดจากเครื่องบินตกและลอยคออยู่กลางทะเล จะมีชีวิตอยู่ได้
เหตุเครื่องบินหายกลางทะเลเช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดครั้งแรก แต่เคยเกิดมาแล้วกับสายการบินชื่อดังอย่างแอร์ฟรานซ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนปี 2009 เครื่องบินแอร์บัส เอ 330 พร้อมด้วยผู้โดยสารและลูกเรือรวม 228 ชีวิต เดินทางจากริโอเดอจาเนโรของบราซิล มุ่งหน้าไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่กลับสูญหายไปจากจอเรดาร์ในระหว่างอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เครื่องบินเจ็ทขนาดใหญ่สูญหายอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่ทราบสาเหตุ
สายการบินแอร์ฟรานซ์ใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าจะพบว่าเครื่องบินลำดังกล่าวสูญหายไป และการค้นหาก็ดำเนินไปนานหลายวันโดยไม่มีการค้นพบซากเครื่องบินหรือร่างของผู้เสียชีวิต แถมยังเป็นการสุ่มหาในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเครื่องบินตกลงตรงพิกัดใดกันแน่
ทีมค้นหาซึ่งประกอบด้วยกองทัพเรือสหรัฐฯ ฝรั่งเศส สเปน และบราซิล จำนวนนับพันนาย ใช้เวลาถึง 6 วันจึงพบร่างของผู้เสียชีวิต 2 รายแรก ผูกติดอยู่กับพนักเก้าอี้เครื���องบิน หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการพบชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องบินและศพในบริเวณรัศมีห่างกันถึง 50 ไมล์ ทีมค้นหายุติการทำงานในวันที่ 26 มิถุนายน เมื่อพบศพ 50 ศพ และชิ้นส่วนเครื่องบินกว่า 640 ชิ้น
อย่างไรก็ตาม ทางการฝรั่งเศสยังคงเดินหน้าค้นหาซากเครื่องบินต่อไป เนื่องจากยังไม่พบกล่องดำ หัวใจสำคัญที่จะไขปริศนาเครื่องบินตกในครั้งนี้ การค้นหาดำเนินไปนานถึง 23 เดือน จึงพบซากเครื่องบินติดอยู่ใต้หุบเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติกลึกถึงเกือบ 4,000 เมตร โดยพบกล่องดำ และร่างของผู้เสียชีวิตอีก 104 รายติดอยู่กับห้องโดยสาร แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่พบร่างของผู้เสียชีวิตอีกถึง 74 ราย
กล่องดำที่กู้จากซากเครื่องบิน ช่วยคลี่คลายปริศนาการหายไปของเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำนี้ โดยพบว่าเครื่องบินบินฝ่าพายุ จนเครื่องจับความเร็วเครื่องบินเป็นน้ำแข็ง และบอกความเร็วคลาดเคลื่อน เป็นเหตุให้ออโตไพล็อตไม่ทำงาน และกัปตันก็เกิดความสับสน บังคับเครื่องผิดพลาด นำเครื่องออกนอกเส้นทาง และบินช้ากว่าปกติจนไม่สามารถประคองตัวในอากาศได้ นำไปสู่การร่วงลงกลางทะเลในที่สุด
ส่วนสาเหตุที่เครื่องบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเพราะเครื่องแล่นลงสู่พื้นน้ำโดยท้องเครื่องกระแทกน้ำ และจมลงสู่ก้นทะเลอย่างรวดเร็วทั้งลำ ซากที่หลุดจากการตกกระแทกจึงเป็นเพียงเศษเล็กๆที่ตรวจหาได้ยาก นอกจากนี้บริเวณที่เครื่องบินตกยังอยู่กลางทะเลลึก 2,000-3,000 เมตร และห่างไกลจากฝั่ง ต้องแล่นเรือออกจากชายฝั่งบราซิลถึง 2 วันกว่าจะถึงจุดตก การค้นหาและเก็บกู้ซากจึงทำได้ยากลำบากและล่าช้า
บทเรียนจากโศกนาฏกรรมแอร์ฟรานซ์ ไม่เพียงเป็นการบอกใบ้ว่าการค้นหาซากเครื่องบินและสรุปสาเหตุการสูญหายของเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ อาาจต้องใช้เวลานานนับปีเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งคำถามที่ว่าการค้นหาที่ใช้ทรัพยากรคนและเงินมหาศาลนานนับปีเช่นนี้ จะตกเป็นหน้าที่ของชาติใด
ในกรณีของแอร์ฟรานซ์ ฝรั่งเศสเป็นทั้งชาติเจ้าของเครื่องบิน และยังมีผู้โดยสารอยู่ในเครื่องมากเป็นอันดับต้นๆ แถมยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางเรือและอากาศ จึงไม่มีปัญหาในการรับเป็นเจ้าภาพค้นหาและติดตามกู้ซากเครื่องบิน
แต่ในกรณีของมาเลเซียแอร์ไลน์ มาเลเซียและจีน ซึ่งเป็นชาติที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์มากที่สุด ในฐานะเจ้าของสายการบินและประเทศที่มีผู้โดยสารบนเครื่องมากที่สุด ยังไม่มีทีท่าว่าใครจะรับภาระหนักหน่วงยืดเยื้อของการไขปริศนาเครื่องบินหายในครั้งนี้