หลายคนอาจจะเข้าใจว่า “คาลพิสแลคโตะ” เป็นของอายิโนะโมะโต๊ะ แต่ล่าสุดอาซาฮีญี่ปุ่นได้เข้าซื้อกิจการแล้ว
หลายคนอาจจะเข้าใจว่า "คาลพิสแลคโตะ" เป็นของอายิโนะโมะโต๊ะ แต่ล่าสุดอาซาฮีญี่ปุ่นได้เข้าซื้อกิจการแล้ว โดยร่วมมือกับโอสถสภา ใช้งบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตและการตลาดในไทย
นายโยชิคาซึ นามโมโตะ ประธานบริษัท คาลพิสโอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแบรนด์ "คาลพิสแลคโตะ" เปิดเผยว่า เนื่องจากคาลพิสในญี่ปุ่น ซึ่งเดิมเป็น บริษัทลูกของอายิโนะโมะโต๊ะ ถูกขายออกไปให้ทางกลุ่มอาซาฮีญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มรายใหญ่ของญี่ปุ่นเป็นผู้ซื้อแบรนด์และกิจการคาลพิสทั้งหมดเมื่อปี 2555 เนื่องจากกลุ่มอาซาฮีมองเห็นศักยภาพในการทำตลาดแบรนด์นี้
และในไทย ซึ่งเดิมอายิโนะโมะโต๊ะประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและทำตลาด มาอยู่ภายใต้บริษัทใหม่ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 ในนามบริษัท คาลพิสโอสถสภา จำกัด ทุนจดทะเบียน 720 ล้านบาท โดยคาลพิสญี่ปุ่น ถือหุ้น 60% จะเป็นผู้ผลิตและสร้างแบรนด์ และโอสถสภา ถือหุ้น 40% เป็นผู้จัดจำหน่าย
โดยาลพิสโอสถสภา จะลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานใหม่ ของกลุ่มโอสถสภาที่ พระนครอยุธยา พื้นที่รวม 5,000 ตารางเมตร โดยจะเริ่มผลิตในเดือนมิถุนายนนี้ ด้วยกำลังการผลิตเต็มที่ 140 ล้านขวดต่อปี โดยขณะนี้ว่าจ้างบริษัทโตโยเซคัง ผลิตแบบขวดเพ็ท ขนาด 350 มิลลิลิตร และโอสถสภาผลิตแบบกระป๋องขนาด 325 มิลลิลิตร เป็นการชั่วคราว โดยมี 4 รสชาติทำตลาด คือ ออริจินัล, รสส้ม, โซดาออริจินัล และโซดากลิ่นเลมอน จับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ วัยรุ่นอายุ 15-24 ปี และกลุ่มเป้าหมายรองอายุ 25-34 ปี
ส่วนงบการตลาดปีนี้จะใช้สูงถึง 300 ล้านบาท ดำเนินกลยุทธ์ครบวงจร ทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีเวนต์ การทำโรดโชว์ และใช้ "มาริโอ้ เมาเร่อ" เป็นพรีเซ็นเตอร์ และเปิดตัวหนังโฆษณาชุดใหม่ด้วยแคมเปญ "เติมจุด..จุด..สนุกได้ไม่สะดุด กับ คาลพิสแลคโตะ" และตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้ไว้ที่ 1,300 ล้านบาท
ทั้งนี้กลุ่มอาซาฮี เห็นว่า ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ในไทยยังมีศักยภาพอีกมาก ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดฟังก์ชันนัลดริงก์ประมาณ 7,100 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 25% ต่อปี ขณะที่มูลค่าตลาดรวมเครื่องดื่มน้ำอัดลมอยู่ที่ 36,000 ล้านบาท เติบโต 5%