อิชิตัน ประกาศขึ้นแท่นเบอร์ 1 ธุรกิจชาเขียวในไทยแล้ว พร้อมเปิดตัว "อิชิตัน ซีเล็คเต็ด" ชาสูตรหวานน้อย ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตอีก 20% ทะลุ 7,000 ล้านบาท และเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในเดือนกุมภาพันธ์นี้

 

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ "อิชิตัน ซีเล็ดเต็ด" ชาสูตรหวานน้อย ในเดือนมีนาคมนี้ ด้วย 2 รสชาติใหม่ คือ อิชิตัน ซิเล็คเต็ด มัทฉะ และอิชิตัน ซีเล็คเต็ด อู่หลง สูตรหวานน้อย ขนาด 450 มิลลิลิตร ราคา 20บาท และในช่วงปลายปีจะออกอีก 2 รสชาติ คือ อิชิตัน ซิเล็คเต็ด มัทฉะ และอิชิตัน ซีเล็คเต็ด อู่หลง สูตร 0 แคลอรี่ คาดว่าจะทำยอดขายไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท และปีนี้อิชิตันมีรายได้เติบโต 20% หรือกว่า 7,000 ล้านบาท และใช้งบการตลาดรวม 800 ล้านบาท

      

โดยปีนี้จะเน้นสร้างแบรนด์ อิชิตัน ซีเล็คเต็ดเป็นหลักและจะทำแคมเปญใหญ่เพียง1แคมเปญเท่านั้น จากปีก่อนอิชิตันมีรายได้ที่ 6,000 ล้านบาท พร้อมมีส่วนแบ่งทางการตลาด 42.7% เป็นอันดับหนึ่งในตลาดรวมชาเขียวพร้อมดื่มมูลค่า 16,500 ล้านบาท ส่วนโออิชิ มีส่วนแบ่ง 37.9% ขณะที่ผลิตภัณฑ์เย็นเย็น มีส่วนแบ่งถึง 7.7%

      

ส่วนแนวโน้มตลาดรวมชาเขียวพร้อมดื่มในปีนี้ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และสูงถึง 19,800 ล้านบาทได้ จากการโปรโมชั่นและการแข่งขันที่รุนแรง และยังมีแบรนด์ใหม่ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาทำตลาด ทำให้ตลาดน่าจะสูงถึง 40,000 ล้านบาท ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า เท่ากับตลาดน้ำอัดลมได้

      

ทั้งนี้ ในช่วง10ปีที่ผ่านมา ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มจะเติบโตขึ้นจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่หลังจากนี้เชื่อว่าทิศทางจะเปลี่ยนแปลงไป โดยปีนี้อิชิตัน จะใช้กลยุทธ์คุณประโยชน์จากชามาเป็นตัวขับเคลื่อนยอดขาย ตามทิศทางของตลาดชาพร้อมดื่มทั่วโลก โดยพบว่าในเอเชีย ชาดำมีสัดส่วน 20% ชาเขียวหวานน้อยมีสัดส่วน 18% ชาเขียวหวานเลม่อน 10% ชาเขียวผสมน้ำผิ้ง 8% ชาดำหวาน 6% และอื่นๆ 35% และเทรนด์ชาเขียวหวานน้อยกำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น โดยในไทยนั้น ปีที่ผ่านมากลุ่มชาเขียวหวานน้อยมีส่วนแบ่ง 0.3%เทียบกับตลาดรวม และจะเพิ่มเป็น 3-4% ได้ และในอนาคตน่าจะทำได้ถึง 7-8%

 

และภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ อิชิตันจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแน่นอน โดยจะไม่มีการเลื่อนออกไปอีกแล้ว ถึงแม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นก็ตาม โดยมองว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น คนไทยยอมรับได้ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้าย ที่สำคัญธุรกิจยังต้องเดินหน้า