การเลือกตั้งในกัมพูชา ปี 2536 เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งของประชาชน
การเลือกตั้งในกัมพูชา ปี 2536 เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งของประชาชน ทั้งที่ชาวกัมพูชาจำนวนมากถูกข่มขู่คุกคาม ไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเช่นไร
จากรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคมปี 2537 ได้รายงานถึงสถานการณ์การเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมปี 2536 ของกัมพูชา ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น "เขมรแดง" หนึ่งในขั้วขัดแย้งในสงครามกลางเมืองก็พยายามขัดขวางกระบวนการเลือกตั้งด้วยการข่มขู่ คุกคาม หรือสังหารประชาชน ที่จะไปใช้สิทธิออกเสียงในครั้งนั้นด้วย
หลังกรุงพนมเปญแตกในเดือนเมษายน 2518 ยุคสมัยแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา ภายใต้การนำของเขมรแดงเริ่มต้นขึ้น ประชากร 1 ใน 8 ของกัมพูชาเสียชีวิตจากการทรมาน โรคระบาด และการสังหารหมู่ที่เรียกว่า "ทุ่งสังหาร" จนกระทั่งเดือนมกราคม 2521 กองทัพเวียดนามบุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ และล้มอำนาจเขมรแดง แต่ก็ไม่สามารถทำให้สงครามกลางเมืองที่เริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1970 สิ้นสุดลงไปด้วย
หลังการแทรกแซงทางทหารของเวียดนาม ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งรัฐกัมพูชาขึ้น ภายใต้การนำของนายเฮงสัมริน และนายฮุนเซน ขณะที่สงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มเฮงสัมริน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เวียดนามสนับสนุน กับกลุ่มแนวร่วมเขมร 3 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย เขมรแดง เขมรซอนซาน และพรรคฟุนซินเบค ของเจ้านโรดม สีหนุ ยังคงดำเนินอยู่ กระทั่งเวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาในปี 2532 เพื่อกรุยทางไปสู่ประชาธิปไตย
ในปี 2534 มีการลงนามข้อตกลงสันติภาพปารีส เพื่อยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนาน โดยสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ในชื่อ UNTAC ได้เข้าไปจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ชาวกัมพูชากำหนดอนาคตตนเอง มีการจัดตั้งพรรคการเมืองจากกลุ่มต่างๆ กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 และมีต่างชาติร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง มีเหตุความรุนแรงที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐพยายามขัดขวางพรรคอื่นๆในการหาเสียง ขณะที่เขมรแดงซึ่งสามารถยึดครองพื้นที่ตามแนวชายแดน ประกาศเป็นปฏิปักษ์กับการเลือกตั้งอย่างชัดเจน ถึงแม้เขมรแดงจะอนุญาตให้ UNTAC และองค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเข้าไปสังเกตการณ์ แต่ก็มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่นานาชาติถูกจับกุม และสังหารเสียชีวิตถึง 216 ราย เช่นเดียวกับประชาชนชาวกัมพูชา
แม้จะมีการข่มขู่ คุกคาม เพื่อขัดขวางการเลือกตั้งตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดประชาชนผู้กล้าหาญชาวกัมพูชากว่าร้อยละ 90 ก็ได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งภายใต้การคุ้มกันของ UNTAC เพื่อกำหนดชะตากรรมและอนาคตของตนเอง ถึงแม้ว่า ผลที่ออกมาจะไม่สามารถยุติความขัดแย้งในกัมพูชาได้อย่างจริงจัง แต่ก็ถือเป็นการเปิดประตูไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชาครั้งใหม่นั่นเอง