ไปย้อนดูว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น เกิดขึ้นและเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกได้อย่างไร
เนื่องจากปีหน้าเป็นโอกาสครบรอบ 100 ปี มหาสงคราม หรือสงครามโลกครั้งที่ 1 เราจะพาท่านผู้ชมไปย้อนดูว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น เกิดขึ้นและเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกได้อย่างไร
เมื่อย้อนกลับไปก่อนปี 2457 ที่ยุโรปยังคงไร้เสถียรภาพทางการเมืองนั้น เยอรมนีเพิ่งประกาศรวมชาติและทำสงครามต่อเนื่องกับฝรั่งเศส , จักรวรรดิออตโตมันเริ่มเสื่อมอำนาจลงจากเดิม , จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีวุ่นวายจากปัญหากลุ่มชาตินิยมชาวสลาฟที่ต้องการแยกตัวออกเป็นเอกราช และรัสเซียที่สนับสนุนชาวสลาฟเหล่านั้น ก็กำลังเผชิญกับแรงต้านจากกลุ่มสังคมนิยมตลอดต้นศตวรรษที่ 20 ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงเป็นปัจจัยที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของมหาสงครามในที่สุด
วันที่ 28 มิถุนายน 2457 อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์บนรถเปิดประทุนระหว่างการเดินทางเยือนกรุงซาราเยโว ในบอสเนีย
กระสุนสังหาร 2 นัดออกมาจากกระบอกปืนของ นายกัฟริโล ปรินซีป นักศึกษาหัวรุนแรงชาวเซอร์เบีย ซึ่งเขาผู้นี้คือหนึ่งในสมาชิกขบวนการ "ยังก์บอสเนีย" ที่ต้องการประกาศเอกราช และจัดตั้งรัฐชาวสลาฟในยุโรปใต้ โดยแยกตัวออกจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่ผนวกรวมอาณาจักรของพวกเขาเข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของเมื่อศตวรรษก่อน
และแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือ เกรตวอร์ ก็เริ่มต้นขึ้น และนี่คือสงครามที่เปลี่ยนโฉมหน้าการรบแบบเดิมแทบจะทุกอย่าง โดยเป็นสงครามที่มีเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นสงครามที่ก่อให้เกิดองค์การระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก จนนำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองของเผด็จการอำนาจนิยมในยุโรปในเวลาต่อมา
ความหวาดระเเวงทางการเมืองทำให้เกิดการจับมือกันระหว่างชาติมหาอำนาจ รัสเซียและฝรั่งเศสทนไม่ได้ที่เห็นออสเตรีย-ฮังการีเดินหน้าถล่มเซอร์เบีย ซึ่งต่อมามีอังกฤษและสหรัฐฯ เข้าร่วมด้วย จนได้รวมตัวกันเป็น "เดอ อองตองต์" หรือ กลุ่มสัมพันธมิตร ขณะที่เยอรมนีก้ได้ให้สัญญากับออสเตรีย-ฮังการีไว้ว่า จะสนับสนุนการรบกับเซอร์เบีย และออตโตมัน ก็รวมตัวกันเป็น "มหาอำนาจกลาง"
วันที่ 28 กรกฎาคม 2457 เยอรมนีเข้ารุกรานเบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์กและฝรั่งเศส ก่อนจะเข้ายึดกรุงปารีส โดยแนวรบด้านตะวันตกเป็นการรบที่สูญเสียมากที่สุด ส่วนทางตะวันออก แม้ว่ากองทัพรัสเซียสามารถเอาชนะกองทัพออสเตรีย-ฮังการีได้ในช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม แต่ต่อมาก็ถูกกองทัพเยอรมันบีบให้ล่าถอยออกจากโปแลนด์ในที่สุด
ขณะที่แนวรบทางใต้เกิดขึ้นเมื่อจักรวรรดิออตโตมันเข้าสู่สงครามในเดือนสิงหาคม ซึ่งทำให้อังกฤษและฝรั่งเศส ส่งทหารอาณานิคมเข้าร่วมรบด้วยในบริเวณนี้ จนกระะทั่งอาณาจักรออตโตมันล่มสลาย และนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐตุรกีของมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก
รัสเซียถอนตัวจากสงครามในเดือนตุลาคมปี 2460 และหลังจากเกิดการรุกคืบตามแนวรบด้านตะวันตกของเยอรมนีใน 2461 กองทัพสหรัฐฯ ก็ประกาศเข้าร่วมสงครามด้วย ซึ่งกองทัพสัมพันธมิตรที่มีสหรัฐฯ เป็นแรงหนุนก็สามารถผลักดันกองทัพเยอรมนีกลับไปเป็นผลสำเร็จ หลังได้รับชัยชนะติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้เยอรมนีตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2461 จนกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "วันสงบศึก" และชัยชนะตกเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร
การรบรูปแบบใหม่ถูกนำมาใช้ในการสงคราม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการบิน การใช้อาวุธเคมีเป็นครั้งแรก ในยุทธการอีแปร์ครั้งที่ 2 ที่เยอรมนีนำแก๊สคลอรีน ยิงแตกอากาศใส่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้มีทหารเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก การใช้เรือดำนํ้าทำลายเรือส่งเสบียงของฝ่ายตรงข้าม หรือแม้กระทั่ง การที่อังกฤษได้นำรถถังมาใช้ในการวิ่งฝ่าสนามเพลาะของข้าศึก เป็นต้น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง มีการการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ โดยเยอรมนีต้องถูกปลดอาวุธ เป็นผู้จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามแต่เพียงผู้เดียวเพราะเป็นผู้ก่อสงคราม ต้องยกเลิกการมีกองทัพ ตลอดจนต้องมีการจัดการพรมแดนยุโรปใหม่ ส่วนนายวูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยนั้นได้มีการเสนอหลัก 14 ประการ ก่อนที่สงครามจะยุติโดยสมบูรณ์ ซึ่งนับเป็นการกรุยทางสู่สันติภาพระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จนนำไปสู่การจัดตั้งสันนิบาตชาติขึ้นในปี 2462 ซึ่งถือว่าเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การแรกของโลก
อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ตกตํ่าของเยอรมนี ซึ่งเกิดจากแรงกดดันของชาติสัมพันธมิตร รวมทั้งอิตาลีและญี่ปุ่น นำไปสู่การเถลิงอำนาจของนาซีเยอรมัน ผู้นำฟาสซิสต์และลัทธิชาตินิยมญี่ปุ่น ที่รวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกอีกครั้งในอีก 20 ปี ต่อมา