การเต้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเนิ่นนานนับพันปี ทุกวัฒนธรรมล้วนมีแบบอย่างการเต้นของตัวเอง วันนี้เราจะมาดูกันการเต้นแบบแปลกๆ ที่มีเหตุผลการเต้นนอกเหนือจากเหตุผลการเต้นเป็นกลุ่มเพื่อการสังสรรค์
Sufi Whirling (ซูฟี เวิร์ลลิ่ง) หรือ การเต้นซูฟีลมวน การเต้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำสมาธิเพื่อยกระดับจิตใจ ของศาสนาอิลลามนิกายซูฟี มักเต้นในตะวันออกกลางสืบทอดมายาวนานกว่า 800 ปี หรือตั้งแต่ศตวรรษที่ 12
เหล่าดาร์วิช (Darvish) หรือนักบวชในนิกายซูฟีจะแต่งกายด้วยชุดยาวคล้ายกระโปรงสีขาว สวมหมวกทรงสูงที่ทำมาจากขนอูฐ เรียกว่า ซิกเก (Sikke) จากนั้นจะเริ่มการเต้นหมุนวนรอบตัวเอง และเคลื่อนตัวเป็นวงกลมไปรอบห้อง แล้วเต้นประกอบกับเพลงที่มีทำนองสงบนิ่งชวนให้เข้าสู่ภวังค์เป็นเวลากว่าชั่วโมง
ตามหลักของนิกายซูฟี เชื่อว่า การเต้นนี้จะทำให้นักบวชเหล่านั้นละทิ้งอัตตา และตัวตนออกไป ซึ่งจะทำให้พวกเขาเข้าถึงพระเจ้าได้ ปัจจุบัน การเต้นซูฟีลมวนไม่ได้เป็นการเต้นเพื่อเหตุผลแค่ทางศาสนาอย่างเดียว แต่ยังเป็นการแสดงที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลงมนต์เสน่ห์ของประเทศตุรกีได้อีกด้วย
การเต้นเตะขาที่สนุกสนาน และตื่นตาตื่นใจนี้ เรียกว่า โฮปัก (Hopak) หรือมักเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการเต้นคอสแซค (Cossac Dance) เป็นการเต้นประจำชาติของยูเครน
โฮปัก มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 16 จากทหารยูเครนที่เต้นเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดสงคราม และเชื่อว่าเต้นเพื่อเป็นการรำลึก และสืบทอดวีรกรรมและชัยชนะที่ได้รับจากสงคราม
นักเต้นหลักมักจะเป็นผู้ชาย สวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส ไม่มีจังหวะ และแบบแผนการเต้นที่แน่นอน และในยุคหลังมักมีกายกรรมเข้ามาผสมผสานในเต้น เช่น การกระโดดสูง และหมุนตัว เพื่อเป็นการแสดงความแข็งแรงของร่างกาย
มาดูการเต้นพื้นเมืองของเยอรมันกันบ้าง การเต้นนี้เรียกว่า ชูแพลทเลอร์ (Schuhplattler) มีต้นกำเนิดเมื่อ 900 ปีที่แล้ว เป็นการเต้นพื้นบ้านของชาวไร่ ชาวนาผู้ชายในรัฐบาวาเรียใช้เกี้ยวสาวๆ
ลักษณะการเต้นชูแพลทเลอร์ จะเต้นกันเป็นกลุ่ม ตบตีตามอวัยวะต่างๆ ของตนเอง และผู้อื่นให้เพื่อให้เกิดเสียง เช่น เข่า สะโพก ส้นเท้า และตีลังกาเต้นกันเป็นคู่ และเผยแพร่ไปทั่วประเทศเยอรมัน และออสเตรียช่วงถูกนำไปแสดงในวังกลางศตวรรษที่ 18 ปัจจุบัน การเต้นชูแพลทเลอร์แตกแขนงเป็นการเต้นพื้นบ้านอื่นๆ อีกมากมาย
ปิดท้ายด้วยการเต้นจากประเทศบราซิล ที่มีชื่อว่า คาโปเอร่า การเต้นนี้จะยืนล้อมนักเต้น 2 คนตรงกลาง ผู้ชมที่ชมอยู่ข้างๆ ก็จะช่วยกันเล่นดนตรี ปรบมือ และร้องเพลงเพื่อสร้างจังหวะ นักเต้นคาโปเอร่า จะเคลื่อนไหวรวดเร็ว ฉับไว อ่อนช้อย และมักใช้ขาเป็นหลักในการเต้นในแบบที่ไม่เหมือนวัฒนธรรมใดๆ
คาโปเอร่า ถือกำเนิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 16 โดยทาสผิวสีในบราซิลที่ถูกชาวโปรตุเกสจับมาเป็นทาส เดิมทีคาโปเอร่าเป็นศิลปะป้องกันตัวของพวกทาส แต่สาเหตุที่ทำให้คาโปเอร่ามีท่าทางคล้ายคลึงกับการเต้น ก็เพราะว่าทาสเหล่านั้นไม่สามารถฝึกศิลปะป้องกันตัวแบบโจ่งแจ้งได้ จึงต้องมีการผสมผสานท่าทางการฝึกการต่อสู้เข้ากับดนตรี เพื่อเป็นการบังหน้าไม่ให้ชาวโปรตุเกสรับรู้
จากนั้น ในปลายศตวรรษที่ 18 การเต้นคาโปเอร่า กลายเป็นศิลปะป้องกันตัวที่สร้างความรุนแรงถึงแก่ชีวิต ทำให้รัฐบาลบราซิลในสมัยนั้นสั่งระงับไม่ให้ประชาชนฝึกคาโปเอร่าอีกต่อไป
แต่ศิลปะนี้ ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเมื่อบราซิลต้องทำสงครามกับปารากวัย และในตอนนั้นเองที่รัฐบาลบราซิลสั่งให้เหล่ากองทหารดำ ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบคาโปเอร่า ออกไปต่อสู้และได้ชัยชนะกลับมา จึงทำให้นักเต้นคาโปเอร่าถูกยกย่องอีกครั้ง และการเต้นนี้กลายมาเป็นศิลปะการเต้นประจำประเทศบราซิล และเป็นที่รู้จักกว้างขวางไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน