รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งให้อธิบดีราชทัณฑ์ ศึกษาข้อกฎหมาย และกำหนดเกณฑ์ การย้ายผู้ต้องขัง ในกลุ่มที่มีโทษไม่หนัก ให้กลับไปอยู่เรือนจำภูมิลำเนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งให้อธิบดีราชทัณฑ์ ศึกษาข้อกฎหมาย และกำหนดเกณฑ์ การย้ายผู้ต้องขัง ในกลุ่มที่มีโทษไม่หนัก ให้กลับไปอยู่เรือนจำภูมิลำเนาหรือใกล้เคียง เพื่อให้ญาติสามารถเข้าเยี่ยมได้ง่ายขึ้น
แม้ที่ผ่านมาพันตำรวจเอกสุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะใช้ดุลพนิจ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ในการพิจารณาย้ายผู้ต้องขังนักโทษเด็ดขาด กรณีที่คดีไม่ร้ายแรง กลับเรือนจำภูมิลำเนาได้ หากเรือนจำปลายทางยืนยันว่าสามารถรองรับได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ญาติผู้ต้องขังในการเดินทางเข้าเยี่ยม และส่งผลดีต่อสภาพจิตใจและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
แต่วันนี้(2 ต.ค.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ได้สั่งการให้ กรมราชทัณฑ์ศึกษาระเบียบที่เกี่ยวข้อง และกำหนดเป็นหลักเกณฑ์มาตรฐาน เช่น ผู้ต้องขังที่กำหนดโทษเกิน 5 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี และเป็นผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ไม่เคยผิดวินัยเรือนจำ โดยการศึกษานี้ จะยกเว้นผู้ต้องขังคดียาเสพติดรายใหญ่ ที่ต้องถูกควบคุมในเรือนจำที่ความมั่นคงสูงเท่านั้น
ขณะเดียวกัน กรมราชทัณฑ์ ได้ร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ทำโครงการลดต้นทุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ด้วยการว่าจ้างผู้ต้องขังชั้นดี เกือบ 1 แสนคน จาก 43 เรือนจำทั่วประเทศ เป็นลูกจ้าง เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน และยังเป็นการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังให้มีทักษะความสามารถในการทำงานและยังมีรายได้ระหว่างถูกคุมขัง ประมาณเดือนละ 2,000 - 3,000 บาท ซึ่งเท่ากับเป็นการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพหลังพ้นโทษ