ในโลกยังมีศาสนา มากกว่าแค่ศาสนากระแสหลัก 6 - 7 ศาสนา ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกัน มาดูว่า ศาสนาแปลกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากศาสนาหลักมีอะไรบ้าง
ในสังคมพหุนิยม เราถือว่าการเรียนรู้วัฒนธรรม และความเชื่อของคนศาสนาอื่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในโลกยังมีศาสนามากกว่าแค่ศาสนากระแสหลัก 6 - 7 ศาสนา ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกัน มาไปดูว่า ศาสนาแปลกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากศาสนาหลักมีอะไรบ้าง
ลัทธิบูชาเจ้าชายฟิลิป เป็นลัทธิของชนเผ่ายาโอห์นาเนน ในประเทศวานูอาตู ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ชนเผ่านี้เชื่อว่าเจ้าชายฟิลิป พระสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่สองของอังกฤษเป็นบุตรของเทพเจ้าแห่งขุนเขา ทั้งนี้ เพราะคัมภีร์โบราณของชนเผ่าระบุว่า จะมีบุตรเทพเจ้าที่มีผิวสีอ่อนเดินทางข้ามทะเลมาจากแดนไกลแล้วได้แต่งงานกับหญิงทรงอำนาจ
หลังจากที่เจ้าชายฟิลิปเสด็จเยือนวานูอาตูในคริสตศักราช 1974 ชาวเผ่าก็ปักใจเชื่อว่า พระองค์คือบุตรของเทพในตำนาน ชาวเผ่าจึงขอให้เจ้าชายฟิลิปส่งพระฉายาลักษณ์ของพระองค์มาให้ หลังจากได้รับแล้วชาวเผ่าก็ส่งไม้ตีหมูไปให้เจ้าชายฟิลิปเป็นการตอบแทน
ไซแอนโทโลจี (Scientology) เป็นศาสนาที่สอนว่าจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นเป็นอมตะ และมนุษย์สามารถดึงพลังทางจิตวิญญาณของตัวเองออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณของตัวเองกับธรรมชาติและพระเจ้า
การที่จะเข้าใจความสัมพันธ์นี้ได้นั้นผู้นับถือจะต้องเรียนรู้หลักธรรมของไซแอนโทโลจีเป็นขั้นๆ คำสอนขั้นสูง ซึ่งจะไขความลับของจักรวาลได้นั้น จะเปิดเผยเฉพาะแก่ผู้ที่ได้เรียนรู้หลักธรรมพื้นฐานจนบรรลุแล้วเท่านั้น
ปัจจุบันไซแอนโทโลจีได้รับการรับรองให้เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยซิตียูนิเวอร์ซิตีออฟนิวยอร์กประมาณว่า ทั่วโลกมีผู้นับถือไซแอนโทโลจีอยู่ประมาณ 100,000-200,000 คน
ส่วนศาสนาเจไดเชื่อว่ามีพลังชนิดหนึ่งซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนจักรวาล และผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาเจไดนั้น จะสามารถควบคุมพลังนั้นได้
หลักธรรมเจไดบทสำคัญบทหนึ่งกล่าวว่า "ที่ใดไร้อารมณ์ที่นั่นมีสันติสุข ที่ใดไร้ความเขลาที่นั่นมีความรู้ ที่ใดไร้แรงอยากที่นั่นมีความเยือกเย็น ที่ใดไร้ความตายที่นั่นมีพลัง"
ในการสำรวจสำมะโนประชากรของอังกฤษในปี 2544 มีผู้ตอบว่าตัวเองนับถือศาสนาเจไดมากถึงเกณฑ์ที่กำหนด รัฐบาลอังกฤษจึงรับรองให้ศาสนาเจไดเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการ
บ้านสวนพีระมิดเป็นลัทธิในประเทศไทยซึ่งก่อตั้งโดยนางอุบล ศุภาเตชาภรณ์ ผู้ซึ่งเรียกตัวเองว่า "อาจารย์อุบล" บ้านสวนพีระมิดนับถือ "ท่านพ่อคตาจินิน" เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่งในจักรวาลและนับถือ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" เป็น "ครูบาอาจารย์" เว็บไซต์ของบ้านสวนพีระมิดระบุว่า "อาจารย์อุบล" นั้นได้รับพลังพีระมิดซึ่งเป็น "พลังที่สวรรค์ประทานมา เพื่อรักษาคนดีและผู้มีบุญ ให้พ้นจากทุกข์โศกโรคภัยทุกชนิด"
ขณะนี้บ้านสวนพีระมิดกำลังสร้าง "มหาพีระมิด" และ "สถานปฏิบัติธรรมพีระมิด" 99 องค์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ศาสนาสุดท้าย ที่ประหลาดและน่าสนใจที่สุด คือศาสนา "พาสตาฟาเรียน" หรือ "ศาสนาบูชาเส้นพาสต้า"
ผู้นับถือศาสนานี้เชื่อว่า ทุกสิ่งในจักรวาลถูกสร้างขึ้นโดย "สัตว์ประหลาดสปาเก็ตตี้บินได้" ผู้นับถือยังเชื่อด้วยว่าผู้ที่ไม่ศรัทธาใน "สัตว์ประหลาดสปาเก็ตตี้บินได้" นี้จะต้องตกนรก ซึ่งเต็มไปด้วยเบียร์เหม็นหืน และโสเภณีที่มีโรคติดต่อทางเพศ ชาวพาสตาฟาเรียนยังมักสวมกระทะบนหัว เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อทางศาสนา คล้ายกับที่ชาวซิกข์และชาวมุสลิมสวมหมวกด้วย
แน่นอนว่าแท้จริงแล้ว ศาสนาพาสตาฟาเรียนนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้อเลียนความงมงายของศาสนาอื่น แต่ชาวพาสตาฟาเรียนก็ไม่ได้หยุดแค่การล้อเลียนเท่านั้น พวกเขายังพยายามรณรงค์เพื่อความเท่าเทียมระหว่างคนนับถือศาสนากับคนไม่นับถือศาสนา โดยเรียกร้องให้ชาวพาสตาฟาเรียนมีสิทธิสวมกระทะบนหัวถ่ายรูปลงเอกสารราชการเช่นเดียวกับที่ชาวมุสลิมและชาวซิกข์มีสิทธิใส่หมวกถ่ายรูป "ด้วยเหตุผลทางศาสนา"
นอกจากนี้ชาวพาสตาฟาเรียนยังเรียกร้องสิทธิในการแขวนรูป "สัตว์ประหลาดสปาเก็ตตี้บินได้" ในสถานที่สาธารณะเหมือนกับที่ชาวคริสต์มีสิทธิแขวนรูปพระเยซู เรียกร้องให้องค์กรทางศาสนาของพาสตาฟาเรียนได้รับการยกเว้นภาษีเหมือนกับที่องค์กรทางศาสนาอื่นๆ ได้รับ
แม้ว่าศาสนาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจดูประหลาดสุดโต่ง แต่หากคิดดีๆ แล้ว ศาสนาเหล่านี้ก็อาจไม่ได้ประหลาดไปกว่าศาสนาที่เชื่อว่าคนสามารถเสกน้ำให้เป็นไวน์ หรือศาสนาที่เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดใหม่ได้ หรือศาสนาที่เชื่อว่าเด็กเกิดมาแล้วเดินได้เจ็ดก้าวก็เป็นได้