การโค่นล้มรัฐบาลอียิปต์เมื่อคืนที่ผ่านมา(3ก.ค.56) สร้างกระแสตื่นตัวไปทั่วโลก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีชาติใดเลยที่ประณามการรัฐประหารครั้งนี้
การโค่นล้มรัฐบาลอียิปต์เมื่อคืนที่ผ่านมา(3ก.ค.56) สร้างกระแสตื่นตัวไปทั่วโลก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีชาติใดเลยที่ประณามการรัฐประหารครั้งนี้ และบางชาติกลับชื่นชมการกระทำของกองทัพอียิปต์ด้วยซ้ำ จนดูเหมือนว่ารัฐบาลทั่วโลกกำลังเกรงกลัวรัฐบาลเคร่งศาสนา มากกว่ารัฐบาลเผด็จการ
คนไทยคงยังจำกันได้ดีว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2549 ทำให้ประเทศไทยถูกประณามจากรัฐบาลนานาชาติ โดยเฉพาะผู้นำค่ายประชาธิปไตยอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เรียกได้ว่าชื่อเสียงของประเทศต้องตกต่ำอยู่นานนับปี กว่าจะกลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่สำหรับการรัฐประหารครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในอียิปต์ ปฏิกิริยาที่นานาชาติมีต่อการรัฐประหารครั้งนี้กลับแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก นั่นก็คือแทบจะไม่มีชาติใดในโลกที่ออกมาประณามการรัฐประหารครั้งนี้
และยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าทั้งสื่อและรัฐบาลส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงไม่เรียกการโค่นล้มรัฐบาลของนายโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดีอียิปต์ผู้มาจากการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเป็นการ "รัฐประหาร" เสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่การประกาศปลดประธานาธิบดี และควบคุมตัวนายมอร์ซีไว้ รวมถึงนำทหารออกมาตรึงกำลังในกรุงไคโร และประกาศปิดสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลหลายแห่ง ไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากเป็นการรัฐประหารโดยกองทัพ
นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในอียิปต์ และเรียกร้องให้ทหารคืนอำนาจสู่ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว โดยไม่มีคำว่า "รัฐประหาร" และไม่มีการประณามกองทัพอียิปต์แม้แต่คำเดียว เช่นเดียวกับถ้อยแถลงของนายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ที่แทบจะเหมือนกับของนายโอบามาทุกประการ และเรียกการรัฐประหารครั้งนี้ว่า "การแทรกแซงทางทหาร"
ท่าทีดังกล่าวของสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการคาดคำนวณอย่างดีในการเหยียบเรือสองแคม ระหว่างการสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลของนายมอร์ซี ซึ่งเป็นฝ่ายเคร่งศาสนาที่สหรัฐฯไม่ค่อยนิยมชมชอบอยู่แล้ว กับการไม่แสดงท่าทีเห็นชอบในการรัฐประหารมากเกินไป เนื่องจากเป็นการขัดต่อหลักการของประเทศ ส่วนท่าทีของนายบันคีมูน ไม่ได้แสดงอะไรมากไปกว่าเป็นการยืนยันว่าเขาเป็น "เด็กในคาถา" ของสหรัฐฯ
แม้สหรัฐฯและสหประชาชาติจะไม่สามารถแสดงท่าทีสนับสนุนการรัฐประหารอย่างชัดเจนได้ แต่ประเทศอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศซุนนีที่ต่อต้านฝ่ายภราดรภาพมุสลิม และเป็นเผด็จการอยู่แล้ว แถมยังเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ไม่ลังเลที่จะหนุนกองทัพอียิปต์อย่างเต็มที่ โดยกษัตริย์อับดุลลาแห่งซาอุดีอาระเบียทรงส่งสาส์นแสดงความยินดีกับนายอัดลีย์ มันซูร์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นรักษาการณ์ประธานาธิบดีของอียิปต์
ส่วนรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถึงกับชื่นชมว่ากองทัพอียิปต์ ได้พิสูน์ตัวเองอีกครั้งว่าเป็นแนวรั้วอันแข็งแกร่ง ที่ปกป้องความเป็นนิติรัฐและสถาบันทางการเมืองของประเทศชาติ
และแม้แต่นายบาชาร์ อัล อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะถูกโค่นล้มอำนาจเมื่อใด ก็ยังออกมาสนับสนุนการโค่นล้มประธานาธิบดีอียิปต์ โดยกล่าวว่านี่เป็นจุดจบที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มที่คิดจะนำศาสนาอิสลามเข้ามาปะปนกับการเมือง ซึ่งเหมือนเป็นการข่มขู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียกลายๆ เนื่องจากฝ่ายกบฏในซีเรียเป็นกลุ่มเคร่งศาสนาเหมือนกับภราดรภาพมุสลิม
มีเพียงสหภาพยุโรปและรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น ที่ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ว่าไม่สนับสนุนการแทรกแซงทางทหารต่อสถาบันที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และเรียกร้องให้อียิปต์จัดการเลือกตั้งและถ่ายโอนอำนาจกลับคืนสู่รัฐบาลประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุดผ่านการเลือกตั้ง พร้อมทั้งย้ำว่ารัฐบาลใหม่ของอียิปต์จะต้องเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่ม ไม่ยกเว้นชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและศาสนาใดๆทั้งสิ้น ซึ่งจุดยืนนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า อย่างน้อยสหภาพยุโรปก็ยังเห็นถึงความจำเป็นในการยึดมั่นในหลักการของตนเอง มากกว่าการเลื่อนไหลตามสถานการณ์การเมืองโลก
อย่างไรก็ตาม การที่แม้แต่สหภาพยุโรปเองก็ยังไม่กล้าประณามการรัฐประหารในอียิปต์ รวมถึงไม่ได้เรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้แก่นายมอร์ซี อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ในขณะนี้ ทั่วโลกกำลังเกรงกลัวการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลมุสลิมเคร่งศาสนา ที่มักถูกมองว่าเป็นรัฐบาลที่จะละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน จนกระทั่งยอมแม้แต่ใช้วิธีที่ขัดต่อประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิงอย่างการรัฐประหาร เพื่อปกป้องประเทศจากการยึดครองของกลุ่มเคร่งศาสนา โดยทำเป็นลืมไปว่า วิธีการเช่นนี้ทำให้อียิปต์ต้องอยู่ภายใต้ความย้อนแย้งอันแปลกประหลาด นั่นก็คือการปกครองแบบ "เผด็จการ" เพื่อรักษาแนวทาง "เสรีนิยม" ให้คงอยู่ในประเทศต่อไป