แพทย์ ชี้ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Elizabeth Taylor) เป็นมนุษย์ยีนกลายพันธุ์ โดยมีขนตาสองชั้น (distichiasis)
เว็บไซต์เดลี่ เมล รายงานว่า มีเรื่องที่เหลือเชื่อว่า คำว่า ‘การกลายพันธุ์ระดับยีน’(genetic mutation) คือคำที่แพทย์ใช้บอกอาการของ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ต่อพ่อและแม่ของเธอ ในวันที่เธอคลอดเมื่อ 27กุมภาพันธ์ ปี 2475
เนื่องจากเธอมีสิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใคร นั่นคือ การมีขนตาซ้อนกันถึงสองชั้น ซึ่งเป็นที่ไม่ค่อยพบบ่อยนัก แต่ในวงการแพทย์เรียกอาการนี้ว่าขนตาซ้อนแยง (distichiasis)
ขนตาสองชั้นที่ซ้อนกันเป็นแพดกหนา เป็นผลมาจากการพัฒนาที่ผิดปกติของยีนที่มีชื่อว่าเอฟโอเอ็กซ์ซี ทู (FOXC2) ทำให้ขนตาดกกว่าคนปกติ โดยเฉพาะเมื่อล้อมกรอบดวงตาสีม่วงเข้มของเทย์เลอร์ ก็ทำให้เธอมีความงามที่เจิดจรัส และกลายเป็นที่คลั่งไคล้ของแฟนทั่วโลก
และนอกจากจะได้ความงามแบบสวรรค์ประทาน โดยไม่ต้องเปลืองมาสคาร่าแล้วเธอยังโชคดี ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากผลข้างเคียงจากอาการขนตาซ้อนแยงอีกด้วย
ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า ที่จริงแล้ว โรคขนตาซ้อนแยง ถูกพบในสุนัขสายพันธุ์บริสุทธิ์มากกว่าในมนุษย์ และยังนำมาซึ่งความน่ารำคาญและเจ็บปวดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขนตาชั้นที่สอง ไม่ยอมเรียงเป็นแถว หรืออยู่ใกล้กับดวงตามากเกินไป และในขณะที่ขนตาปกติจะงอกอยู่บริเวณเปลือกตา แต่ขนตาที่งอกซ้อนมาเป็นแถวที่สองนั้น จะงอกออกมาจากต่อมของเปลือกตา ที่อยู่ต่ำกว่าขนตาปกติ และมักจะสร้างความระคายเคือง ทำให้น้ำตาไหล และทำให้การมองเห็นแย่ลง เพราะเซลล์กระจกตาเสียหาย ซึ่งการรักษาทำได้ด้วยการใส่คอนแท็คเลนส์ป้องกัน หรือไม่ก็กำจัดขนตาแถวที่สองทิ้ง
แต่สำหรับเทยเลอร์ ขนตาแผงที่สองนี้ กลับยิ่งเพิ่มความงามและสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับอาชีพของเธอ แม่ของเธอเป็นคนที่ผลักดันให้เธอกลายเป็นดาราเด็ก และปรากฎตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกในภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เรื่อง แลสซี่ คัม โฮม ตอนที่อายุเพียง 9ขวบ
ในหนังสือชีวประวัติของเทย์เลอร์ ที่เขียนโดยเจ แรนดี้ ทาราโบเรลลี่ ระบุว่า ร้อดดี้ แม็คโดวัลล์ นักแสดงเด็กที่ขณะนั้นมีวัย 13ปี ได้พูดถึงเทย์เลอร์ว่า ในวันแรกของการถ่ายทำภาพยนตร์ชุดนี้ คนในกองถ่ายพากันพูดถึงเทย์เลอร์ว่า ดูเด็กผู้หญิงคนนั้นสิ เธอทามาสคาร่าเสียหนาเตอะเลยทีเดียว และเมื่อช่างแต่งหน้าจะเข้าไปลบมาสคาร่าจากตาของเธอ ก็ได้พบความจริงว่า เธอมีขนตาดกหนาถึงสองชั้น และต่อมาเธอได้กลายเป็นราชินีจอเงินซึ่งเป็นที่จดจำไปตลอดกาล
Source : NewsCenter/bangkokbiznews/flickr.com (Image)