ไม่พบผลการค้นหา
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฏหมาย เผย ผลสำรวจนักลงทุนญี่ปุ่น พอใจการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนใน EEC โดยรัฐบาลไทยเตรียมนำผลสำรวจที่ได้ไปปรับปรุง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฏหมาย เผยภายหลัง ที่นายฮิโรกิ มิทสึมะตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร เข้าพบว่า ในแต่ละปี เจโทร จะมาเข้าพบปีละ 2 ครั้ง เพื่อนำผลสำรวจความคิด ความเห็น ความต้องการ รวมถึง ปัญหาอุปสรรคของนักลงทุนญี่ปุ่น ที่ลงทุนอยู่ในประเทศไทย มาแจ้งให้รัฐบาลรับทราบว่าติดปัญหาอะไรบ้าง หรือต้องการให้รัฐบาลไทยเพิ่มอะไรเติมบ้าง

โดยทางเจโทร จะเป็นผู้ทำแบบสอบถาม ไปยังนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนญี่ปุ่น 1,700 บริษัท ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยได้รับแบบสอบถามกลับมา 500 บริษัท โดยได้หัวข้อที่น่าสนใจ ที่รัฐบาลต้องนำไปพิจารณา

เช่น เรื่องการขอใบอนุญาตทำงาน หรือ work permit ซึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ ติดใน 1 – 10 อันดับต้นๆ ในหลายปีที่ผ่านมา แต่มาวันนี้ได้ลงไปอยู่ในอันดับท้ายๆ จึงเห็นได้ว่า เกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจ จนไม่มีใครรายงานเข้ามา หรือเรียกร้องในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันยังพบการเรียกร้องเรื่องภาษีศุลกากร และเรื่องภาษีต่างๆ ซึ่งยังไม่สะดวกกับนักลงทุนญี่ปุ่น 

พร้อมกันนี้ เจโทร ยังสำรวจว่า บริษัทของญี่ปุ่น ต้องการอะไรบ้าง ซึ่งพบว่า มีปัญหาขาดแรงงานโดยเฉพาะวิศวกร ซึ่งทางเจโทร ได้สำรวจอย่างละเอียดมาก ว่าตอนนี้ต้องการวิศวกรกี่คน กี่บริษัท ซึ่งตัวเลขต่างๆ ที่ได้ เหล่านี้รัฐบาลจะนำไปใช้ประกอบเพื่อแก้ไขปัญหา 

นอกจากนี้ เจโทร ยังสำรวจเขตเศษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ว่าพึงพอใจหรือไม่ ก็ถือว่าอยู่ในทิศทางที่ดี นักลงทุนญี่ปุ่นพอใจมาก เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน บริเวณ EEC โดยเฉพาะโครงการใหญ่ 4 โครงการ คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนามาบตาพุต พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่น พอใจมากเป็นอันดับ 1 

ขณะเดียวกัน นายวิษณุ ยังเผยว่า นักลงทุนญี่ปุ่น ยังพอใจเรื่องการคืนภาษี เรื่องการอำนวยความสะดวกการลงทุน ใน EEC ด้วย และหลังจากนี้ รัฐบาลจะได้นำผลสำรวจจาก เจโทร ที่ได้ ไปพิจารณาต่อไป เป็นการสะท้อนเสียงจากนักลงทุนญี่ปุ่น 

ส่วนนักลงทุนแถบยุโรป อเมริกาก็อาจจะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป แต่ยังไม่มีหน่วยสำรวจแบบ เจโทร ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้จากเจโทร ไปเทียบเคียง เพื่อที่จะปรับปรุงและทำให้ประเทศไทยติดอันดับประเทศที่น่าสนใจต่อการลงทุนของต่างชาติ เพราะอย่างน้อยแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ทุ่มเททำไปในรอบปีที่ผ่านมานั้นได้ผล หลายอย่างก่อนหน้าเคยสอบตก หรือติดอยู่ในอันดับต้นๆ ซึ่งปีนี้ถือว่าดีขึ้นไปกว่าเดิม 

ด้านการหารือในครั้งนี้ทางเจโทร ไม่ได้สอบถามถึงสถานการณ์ทางการเมือง และไม่ได้แสดงความยินดีอะไร หลังประเทศไทยจะมีเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งทุกปีที่ผ่านมาเจโทร ก็ไม่เคยสอบถามเรื่องการเมืองอะไรกับรัฐบาลทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เจโทร จะพูดคุยแต่เรื่องการค้าขายเพียงอย่างเดียว

อ่านข่าวที่เกีี่ยวข้อง