ไม่พบผลการค้นหา
นักวิทยาศาสตร์เตือน ปลาแซลมอนที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม หากผสมพันธุ์กับปลาเทราต์สีน้ำตาล อาจให้กำเนิดปลาลูกผสม ที่เติบโตรวดเร็ว และเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติ
นักวิทยาศาสตร์เตือน ปลาแซลมอนที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม หากผสมพันธุ์กับปลาเทราต์สีน้ำตาล อาจให้กำเนิดปลาลูกผสม ที่เติบโตรวดเร็ว และเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติ
 
 
ปัจจุบัน การตัดต่อพันธุกรรมกับสัตว์ชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนอาหาร และตอบสนองความต้องการของตลาด จนทำให้สัตว์เหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่า หากสัตว์ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม หลุดไปสู่ธรรมชาติ มันอาจคุกคาม หรือทำลายสายพันธุ์เดิมตามธรรมชาติที่มีอยู่ก็เป็นได้
 
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวฟาวด์แลนด์ ของแคนาดา ระบุว่า จากการศึกษาปลาแซลมอน ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม หรือปลาจีเอ็ม ซึ่งนำไปผสมพันธุ์กับปลาเทราต์สีน้ำตาล ซึ่งเป็นปลาสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน พบว่า ปลาลูกผสมจากทั้งสองสายพันธุ์ จะสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา โดย การผสมพันธุ์ระหว่างปลาจีเอ็มกับปลาตามธรรมชาติ จะทำให้เกิดสายพันธุ์ลูกผสม ที่สามารถคุกคามจำนวนประชากรปลาที่อยู่ตามธรรมชาติอย่างปลาแซลมอนในมหาสมุทรแอตแลนติกได้
 
หัวหน้านักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้กล่าวว่า ตามปกติ ปลาแซลมอน และปลาเทราต์สีน้ำตาล สามารถผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ และให้กำเนิดปลาลูกผสม แม้โอกาสนี้จะมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันก็เตือนว่า หากปลาจีเอ็มหลุดออกมา และผสมพันธุ์กับปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ อาจทำให้โอกาสในการได้ปลาลูกผสมมีมากถึง 41 เปอร์เซ็นต์ และเนื่องจากปลาลูกผสม ถือเป็นภัยคุกคามต่อปลาชนิดอื่น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องการให้ผู้เพาะเลี้ยงปลาจีเอ็ม เพิ่มมาตรการป้องกันไม่ให้พวกมันหลุดออกไปสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ
 
ปลาแซลมอนจีเอ็ม พัฒนาขึ้นโดยบริษัท อะควาบอนตี้ เทคโนโลยี จากสหรัฐฯ  โดยปลาเหล่านี้ ได้รับการตัดแต่งพันธุกรรมโดยใช้ยีนเร่งโตจากปลาแซลมอนชินุก และปลาไหลทะเล ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง จนสามารถผลิตฮอร์โมนเร่งโตได้มากขึ้นเป็นสองเท่า เทียบได้กับปลาแซลมอนในบ่อเลี้ยง และทำให้มันมีขนาดใหญ่พอที่จะนำออกวางขายตามท้องตลาดได้ภายในเวลาเพียง 18 เดือน จากเดิมที่ต้องเลี้ยงนานถึง 30 เดือน
 
 
โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯได้มีการปรึกษากับองค์กรสาธารณะต่างๆ เกี่ยวกับการอนุญาตให้มีการเพาะพันธุ์ปลาจีเอ็มในเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่ โดยกระบวนการนี้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะที่สภาคองเกรส อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งอาจประกาศให้ปลาจีเอ็ม เป็นสัตว์ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง จากกลุ่มผู้บริโภค และซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ
 
 
อย่างไรก็ตาม บริษัทอะควาบอนตี้ เทคโนโลยี ซึ่งมีศูนย์เพาะพันธุ์ปลาจีเอ็ม อยู่ในประเทศปานามา เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่องค์การอาหาร และยาของสหรัฐฯ หรือเอฟดีเอ ได้เดินทางมาตรวจสอบศูนย์เพาะเลี้ยงของบริษัทหลายครั้ง พร้อมทั้งกล่าวให้ความหวังว่า ปลาจีเอ็ม น่าจะได้รับการรับรองจากทางการสหรัฐฯได้ในอนาคตอันใกล้
 
 
นอกจากนี้ ผู้บริหารของอะควาบอนตี้ ยังโต้แย้งรายงานของนักวิทยาศาสตร์ว่า ปลาจีเอ็มที่พวกเขาพัฒนาขึ้น มียีนที่ลดสมรรถภาพการแพร่พันธุ์ของปลาแซลมอนตัวผู้บางตัว ทำให้โอกาสที่พวกมันจะหลุดไปขยายพันธุ์ และทำให้เกิดปลาลูกผสมในธรรมชาติ มีความเป็นไปได้น้อย 
 
 
ขณะเดียวกัน บริษัทแห่งนี้ยังประกาศว่า พวกเขามีแผนวางจำหน่ายเฉพาะปลาแซลมอนเพศเมียที่ทำหมันแล้วเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า เอฟดีเอได้เคยประเมินไข่ปลาแซลมอนจีเอ็มของบริษัทเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งผลที่ออกมาระบุว่า พวกมันไม่น่าจะมีผลกระทบต่อประชากรปลาแซลมอนตามธรรมชาติในมหาสมุทรแอตแลนติก ตามที่นักวิจัยหวาดวิตกแต่อย่างใด
Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog