พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (19 มี.ค.56) เป็นวันแรก ซึ่งเนื้อหาสำคัญคือการเพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนข้อบังคับให้รุนแรงมากขึ้น แต่เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคย้ำว่า ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ ทุกฝ่ายต้องไม่ยึดถือผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก จนสร้างผลกระทบให้คนอื่น
สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับพระราชบัญญัติค้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2556 ซึ่งเป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้ (19 มี.ค.26) เป็นวันแรก
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ เน้นการเพิ่มโทษกับผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ผลิต ผู้นำเข้าสินค้า และสมาคมหรือมูลนิธิ ที่กระทำผิดข้อบังคับ ซึ่งกฎหมายฉบับเก่าเมื่อปี 2522 มีการกำหนดโทษต่ำเกินไป จนอาจทำให้ผู้ฝ่าฝืนไม่เกรงกลัว
เช่น หากฝ่าฝืนมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ว่าด้วยการสั่งห้ามจำหน่ายสินค้าเป็นการชั่วคราว จะมีโทษตามมาตรา 56 คือจำคุกไม่เกิน 5ปี หรือปรับไม่เกิน 5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากเดิมที่มีโทษเพียงจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ
แต่ถ้าผู้ประกอบธุรกิจนั้น เป็นผู้ผลิตเพื่อขาย หรือเป็นผู้สั่ง หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร จะเพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 10ปี หรือ ปรับไม่เกิน 1ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากบทลงโทษของผู้ประกอบธุรกิจแล้ว สมาคมและมูลนิธิ ที่ดำเนินการฟ้องแทนผู้บริโภค ก็ถูกตรวจสอบเช่นกัน โดยในมาตรา 42 กำหนดว่า หากสมาคมหรือมูลนิธิ ไม่ทำตามระเบียบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ มีพฤติกรรมการฟ้องร้องไม่สุจริต อาจถูกเพิกถอนการรับรองตามมาตรา 40 ส่งผลให้ไม่สามารถฟ้องคดีอื่นได้
และหากพบว่า มีผู้ใดอยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องโดยไม่สุจริต เพื่อกลั่นแกล้งผู้ประกอบธุรกิจให้ได้รับความเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี หรือปรับไม่เกิน 3แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เห็นด้วยกับการเพิ่มบทลงโทษให้สูงขึ้น เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกรงกลัวผลทางกฎหมาย แต่ยืนยันว่า หัวใจสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภค คือทุกฝ่ายต้องไม่ยึดถือผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก จนสร้างผลกระทบให้คนอื่น
รวมทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภคอย่างครบวงจร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล และภาคเอกชน ซึ่งหากทำสำเร็จประเทศไทยจะกลายเป็นผู้นำด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน