เจ้าของภัตตาคารหูฉลาม เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบ จากการขึ้นบัญชีฉลาม 5 สายพันธุ์ ในการประชุมไซเตส เนื่องจากผู้ประกอบการไทยไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสายพันธุ์เหล่านี้
พร้อมเรียกร้องให้คนไทยอย่าหลงเชื่อ กลุ่มที่ทำลายภาพลักษณ์การค้าฉลาม เพราะฉลามที่จับได้จะนำมาใช้ประโยชน์ทุกส่วนอย่างคุ้มค่า และไม่ได้ตัดมาเฉพาะครีบตามที่เป็นข่าว
หูฉลามสายพันธุ์ Dogfish ในจานนี้ เป็นสิ่งยืนยันว่า ประเทศไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการลงมติในการประชุมไซเตสเมื่อวานนี้ (11 มี.ค.56) เนื่องจากไม่ได้อยู่ในจำนวน 5 สายพันธุ์ คือ ฉลามหูขาว , ฉลามพอร์บีเกิล และฉลามหัวค้อน ซึ่งกำหนดให้ขึ้นบัญชีแนบท้ายที่ 2 คืออนุญาตให้ค้าขายได้ แต่ต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
นายเดวิด แซ่เล้า เจ้าของภัตตาคารหูฉลามไทยสกาล่า เปิดเผยว่า ฉลามส่วนใหญ่ที่จับได้ เป็นผลพลอยได้จากการล่าปลาทูน่าของชาวประมง พร้อมยืนยันไม่มีการล่าฉลามในเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ เนื่องจากไม่คุ้มค่า
หูฉลามของสายพันธุ์ Dogfish ส่วนใหญ่ที่ขายในประเทศไทย จะนำเข้ามาจากแคนาดาและนอร์เวย์ ซึ่งมีกฎหมายควบคุมอย่างชัดเจน คือ หากจับฉลามได้จะต้องนำทุกส่วนมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า และห้ามตัดเฉพาะครีบเพื่อขายอย่างเดียว
ส่วนข้อมูลที่ฝ่ายอนุรักษ์เปิดเผยว่าฉลามใกล้จะสูญพันธุ์นั้น เจ้าของภัตตาคารหูฉลามไทยสกาล่า ยืนยันว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะฉลามออกลูกครั้งละหลายตัว อีกทั้งการนับจำนวนฉลามในท้องทะเล ยากกว่าการนับจำนวนสัตว์บนบก จึงเป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ
เจ้าของภัตตาคารหูฉลามไทยสกาล่า ยังเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้กำลังร่วมมือกับนักวิจัย วิเคราะห์องค์ประกอบทางโภชนาการ และคุณค่าทางอาหารของหูฉลาม เพื่อโต้แย้งกับข้อมูลของฝ่ายอนุรักษ์ฉลาม ที่อ้างว่าหูฉลามมีสารปรอทสะสมสูงมาก โดยเบื้องต้นพบว่า หูฉลามมีโปรตีนและคอลลาเจนสูง ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง รวมทั้งยังพบสารต้านมะเร็งด้วย