ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปี 2555 นั้น ได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนทั่วโลกอย่างประเมินค่ามิได้ ซึ่งภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุด ก็คือพายุเฮอริเคนแซนดี้ที่พัดถล่มหลายมลรัฐของสหรัฐฯ รวมถึงพายุไต้ฝุ่นโบพา ที่พัดถล่มทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 2555 มีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุถล่ม ไปจนถึงภัยแล้ง เริ่มกันที่ช่วงกลางปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา เกิดสถานการณ์ภัยแล้งอย่างรุนแรงในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นภัยแล้งที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 56 ปี ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเสียหายอย่างหนัก จนทำให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ปัญหาภัยแล้งดังกล่าว ทำให้ทางการของมลรัฐท้องถิ่นกว่า 26 มลรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางและในเขตมิดเวสต์ ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อออกคำสั่งห้ามประชาชนใช้น้ำโดยไม่จำเป็น เช่น การล้างรถยนต์ การเติมน้ำในสระน้ำ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเกษตรกรเป็นอย่างมาก
ต่อมาในเดือนสิงหาคม เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ตามมาตราริกเตอร์ และหลังจากนั้นอีก 11 นาที ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ตามมาตราริกเตอร์ตามมาอีกครั้ง โดยจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กับเมืองอะฮาร์และวาร์ซากัน ในจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออก ประเทศอิหร่าน ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีมากถึง 306 ราย และบาดเจ็บอีกหลายพันคน
ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว นับเป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงมากที่สุดในปีนี้ เนื่องจากก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง และทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยก่อนหน้านี้ อิหร่านเคยเผชิญกับเหตุแผ่นดินไหวมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นในปี 2546 และ 2533 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 26,000 คน และ 50,000 คน ตามลำดับ
ส่วนที่ประเทศอิตาลี ที่เมืองเวนิส ก็เกิดเหตุน้ำท่วมอย่างหนัก หลังจากที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูงกว่าระดับน้ำปกติถึง 1.49 เมตร ซึ่งระดับน้ำที่วัดได้ในครั้งนี้ ถือว่าสูงที่สุดเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 140 ปี ส่งผลให้พื้นที่กว่าร้อยละ 70 ของเมืองจมอยู่ใต้น้ำ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลอิตาลีก็กำลังเร่งมือก่อสร้างโครงการโมเสส ซึ่งเป็นเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่ ที่จะช่วยป้องกันเมืองเวนิสจากปัญหาน้ำท่วม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งรัฐบาลอิตาลีเชื่อว่า โครงการนี้ จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมเมืองเวนิสได้ในระยะยาวอีกด้วย
ส่งท้ายที่ช่วงปลายปี ที่เกิดพายุถล่มอย่างรุนแรงทั้งในสหรัฐฯและฟิลิปปินส์ โดยที่ในสหรัฐฯนั้น พายุเฮอริเคนแซนดี้ได้พัดถล่มหลายมลรัฐซึ่งตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศ รวมถึงประเทศที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลแคริบเบียน โดยยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุพายุเฮอริเคนแซนดี้พัดถล่มนั้นอยู่ที่ 253 ราย ซึ่งสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด อยู่ที่ 131 ราย ส่วนมูลค่าความเสียหายทั้งหมดมากถึง 65,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้พายุเฮอริเคนแซนดี้ เป็นพายุที่สร้างความเสียหายหนักที่สุด รองจากพายุเฮอริเคนแคทริน่า ที่พัดถล่มสหรัฐฯเมื่อปี 2548
และล่าสุด พายุไต้ฝุ่นโบพา ที่พัดถล่มเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กลายเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีของฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มีชาวฟิลิปปินส์เสียชีวิตกว่า 1,067 ราย และสูญหายอีก 800 คน ขณะที่ ประชาชนอีกนับแสนคนกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางการฟิลิปปินส์ได้เตรียมการรับมือกับพายุลูกดังกล่าว ด้วยการประกาศให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย แต่ท้ายที่สุด พายุลูกนี้ก็ยังสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ล่าสุด ทางการฟิลิปปินส์ยังคงไม่ยุติปฏิบัติการค้นหาศพผู้เสียชีวิต พร้อมกันนี้ ยังมีการส่งอาหารและเครื่องดื่มไปยังพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังรอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ส่งผลให้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่ฟิลิปปินส์ในปีนี้ เป็นไปด้วยความโศกเศร้า และรัฐบาลได้ประกาศงดการจัดงานรื่นเริงบนเกาะมินดาเนา เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต