เจ้านโรดมสีหนุ ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสูงในการเมืองกัมพูชา ทั้งในฐานะพระประมุขของประเทศ และฐานะนักการเมืองอาชีพ ซึ่งทำให้พระองค์ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ทำให้อำนาจและบทบาทของกษัตริย์ในการเมืองกัมพูชาพลิกผัน
เจ้านโรดมสีหนุ ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสูงในการเมืองกัมพูชา ทั้งในฐานะพระประมุขของประเทศ และฐานะนักการเมืองอาชีพ ซึ่งทำให้พระองค์ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ทำให้อำนาจและบทบาทของกษัตริย์ในการเมืองกัมพูชา พลิกผันทั้งขึ้นสู่จุดสูงสุดและตกต่ำที่สุดด้วยเช่นกัน
เจ้านโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ถือเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศอาเซียนที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้รับการบันทึกให้เป็นผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากที่สุดในโลก ตั้งแต่เจ้าชายผู้สำเร็จราชการ กษัตริย์ พระมหาวิรักษัตริย์ หรือพระราชบิดาของกษัตริย์ นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า พระองค์ทรงมีบทบาทในการเมืองกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อการกำหนดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในการมีอิทธิพลต่อการเมืองระดับประเทศ
เจ้านโรดมสีหนุถือกำเนิดในช่วงเวลาที่กัมพูชาตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และสถาบันกษัตริย์กลายเป็นเพียงหุ่นเชิด พระองค์ถูกเลือกให้ขึ้นเป็นกษัตริย์เนื่องจากทางฝรั่งเศสมองว่าทรงควบคุมได้ง่ายที่สุดในบรรดาราชวงศ์ทั้งหมดในเวลานั้น แต่เจ้านโรดมสีหนุทรงกลายเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวต่อต้านเจ้าอาณานิคม และทำให้กัมพูชาประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสได้สำเร็จ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นวีรบุรุษของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความนิยมที่ประชาชนมีต่อพระองค์และสถาบันกษัตริย์อย่างสูงสุดในขณะนั้น เกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ เนื่องจากเจ้านโรดมสีหนุทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติเพื่อลงมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว โดยทรงได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลายสมัยจนทรงถูกรัฐประหารโดยรัฐบาลฝ่ายนิยมสหรัฐฯ และต้องลี้ภัยไปยังประเทศจีน
เมื่อเจ้านโรดมสีหนุทรงถูกรัฐบาลเขมรแดงอัญเชิญกลับมาเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดอีกครั้ง เรียกได้ว่าทรงอยู่ในช่วงตกต่ำถึงขีดสุด เมื่อหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าพระองค์ยอมสนับสนุนเขมรแดงเพื่อให้ได้กลับสู่อำนาจ และทำให้บทบาทของสถาบันกษัตริย์กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดทางการเมืองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงโดยกองทัพเวียดนาม และเกิดความผันผวนอย่างหนักในการเมืองกัมพูชา เจ้าสีหนุได้ทรงกลับมามีบทบาทอย่างสูงในการเป็นศูนย์กลางของฝ่ายนิยมเจ้าในประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มการเมืองหลักที่มีพลังต่อรองสูงของกัมพูชาในขณะนั้น
อิทธิพลของเจ้านโรดมสีหนุในช่วงเวลาดังกล่าว เรียกได้ว่าทำให้สถาบันกษัตริย์กลับมามีบทบาทสูงสุดอีกครั้งในการเมืองกัมพูชา แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้แก่นักการเมืองฝ่ายสาธารณรัฐนิยม นำโดยนายฮุน เซน ซึ่งกล่าวหาว่าพระองค์ไม่ทรงประพฤติตนในกรอบของกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไป
แนวคิดดังกล่าว นำไปสู่ความพยายามในการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ในกัมพูชา ทั้งผ่านการพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้านโรดมสีหนุ รวมถึงเชื้อพระวงศ์พระองค์อื่นๆ ที่มีตำแหน่งทางการเมือง เช่น การเนรเทศเจ้านโรดมรณฤทธิ์และเจ้าสิริวุธ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้จำกัดอำนาจของกษัตริย์อย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลให้เจ้านโรดมสีหนุถึงกับตัดสินพระทัยสละราชสมบัติและลี้ภัยไปพำนักยังกรุงปักกิ่งตลอดพระชนม์ชีพ
นอกจากนี้ ความพยายามในการจำกัดอำนาจของกษัตริย์อันเนื่องมาจากบทบาททางการเมืองที่โดดเด่นของเจ้านโรดมสีหนุ ยังส่งผลให้ในปัจจุบัน สมเด็จพระบรมนาถสีหมุนี กษัตริย์กัมพูชา ต้องทรงเรียกได้ว่าอยู่ในการกำกับควบคุมของรัฐบาลทุกฝีก้าว และทำให้สถาบันกษัตริย์กัมพูชา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดในภูมิภาค ต้องกลับมาสู่ความเป็นสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและเป็นเพียงสัญลักษณ์ประการหนึ่งของประเทศเท่านั้น