ไม่พบผลการค้นหา
 ชี้ศาลสั่งให้กรรมการบริษัทต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย จะปิดโรงงานเผ่นหนีปัญหาไม่ได้

หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จ่ายค่าชดเชยให้ชาวบ้านคลิตี้ล่าง 151 คน ฐานละเมิดพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 เนื่องจากปล่อยปละเลยให้สารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ และกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม ว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน กรรมการสิ่งแวดล้อม ทนายความผู้ช่วยเหลือคดีจากสภาทนายความเปิดเผยว่า คำพิพากษาดังกล่าวถือว่าเป็นความสำเร็จของชาวบ้านและ พ.ร.บ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ในการฟ้องคดีทางสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ศาลฎีกาได้รับรองสิทธิของชาวบ้านว่า ชาวบ้านเป็นชุมชนท้องถิ่นมีอำนาจในการฟ้องให้จำเลยฟื้นฟูแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ซึ่งเป็นไปตามหลักของผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายเนื่องจากในคำพิพากษาระบุว่าให้จำเลยต้องแก้ไขฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยเอง 


กรรมการบริษัทต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย

ที่ ร.ต.สมชาย กล่าวว่า สำหรับคดีคลิตี้นั้นเป็นคดีสิ่งแวดล้อมที่ศาลมองว่านอกจากตัวบริษัทและผู้ประกอบกิจการโดยตรงแล้ว กรรมการของบริษัทที่มีอำนาจในการกำกับดูแลบริษัทเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษด้วย เมื่อมีมลพิษแพร่กระจายออกมา คนที่เป็นกรรมการบริษัททุกคนซึ่งมีอำนาจตามหนังสือรับรองบริษัทต้องรับผิดร่วมด้วยกับทางบริษัท นั่นหมายความว่า ทั้งตัวบริษัทเองที่เป็นนิติบุคคลและกรรมการบริษัทซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาต้องร่วมรับผิดด้วย แม้บริษัทจะปิดกิจการไปแล้ว แต่ว่ากรรมการยังต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวด้วย 


ฟ้องศาล 2 คดีต่อสู้นาน 14 ปี


สำหรับการต่อสู้คดีของชาวบ้านคลิตี้ล่างเพื่อเรียกร้องความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทางบริษัท ฯ นั้น หลังจากบริษัท ฯ ได้เริ่มดำเนินการโรงแต่งแร่ในหมู่บ้านเมื่อ 2510 ต่อมาในปี 2518 ชาวบ้านพบว่ามีการปล่อยน้ำเสียลงลำห้วยและมีปลาตายจำนวนมาก กระทั่งในปี 2521 จึงได้ร้องเรียนต่อทางเหมืองและโรงแต่งแร่ และในระหว่างช่วง 2532 - 2541 ชาวบ้านมีอาการเจ็บปวด บางรายตาบอดสนิท และเริ่มทยอยเสียชีวิต จนกระทั่งวันที่ 30 ม.ค.2546 ชาวบ้าน 8 รายได้ยื่นฟ้องบริษัท ในข้อหาละเมิด พ.ร.บ.ส่งเสิรมสิ่งแวดและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 เนื่องจากปล่อยสารตะกั่วจากโรงงานแต่งแร่ลงลำห้วยเป็นเหตุให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายจนเจ็บป่วยและมีสัตว์เลี้ยงล้มตายจำนวนมาก โดยเรียกค่าเสียหาย 119,036,400 บาท ต่อมาศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้มีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 4,260,000 บาท หลังจากนั้นทั้งโจทก์และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีสิ่งแวดล้อม ศาลพิพากษาว่าให้แก้ไขจำนวนค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึง 8 จากเดิม 4,260,000 บาท เพิ่มเป็น 29,551,000 บาท จนกระทั่งศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมมีคำพิพากษาให้จำเลยชดเชยค่าเสียหายจำนวน 20,200,000 บาท ให้โจทก์ทั้ง 8 ราย และให้ฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้รวมเวลาที่โจทก์ต่อสู้คดีนานกว่า 13 ปี

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2550 ชาวบ้าน 151 คนได้ยื่นฟ้องบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ในข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีเรียกค่าเสียหายจากทางบริษัท ฯ รวมทั้งสิ้น 1,041,952,000 บาท และขอให้จำเลยรับผิดชอบในการฟื้นฟูขจัดมลพิษในลำห้วยคลิตี้เป็นคดีที่สอง 

โดยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จ่ายค่าชดเชยจำนวน 36 ล้านบาทให้ชาวบ้านคลิตี้ล่าง 151 คน ฐานละเมิดพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ปล่อยปละเลยให้สารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ และกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม โดยใช้เวลาต่อสู้คดี 10 ปี


เผยเหตุล่าช้าเพราะใช้เวลาสืบพยานนาน

ว่าที่ ร.ต.สมชาย มองว่า ในส่วนการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาสำหรับคดีแรกนั้น ค่อนข้างล่าช้าเนื่องจากทางทนายความต้องสืบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายทั้ง 8 คนว่า แต่ละคนได้รับความเสียหายมากน้อยอย่างไร ทำให้เสียเวลาพอสมควร แต่ว่าผลของคำพิพากษาชัดเจนโดยศาลเชื่อว่าชาวบ้านเจ็บป่วยจากสารตะกั่วจริงและได้ค่าชดเชยไปจำนวนค่อนข้างมาก 

สำหรับคดีที่สองนั้นเป็นกรณีที่ชาวบ้านไม่ได้มีใบรับรองแพทย์ว่าป่วยจากสารตะกั่ว มีเพียงผลการตรวจเลือดว่าบางคนมีสารตะกั่วสูง บางคนก็สารตะกั่วต่ำ เพราะฉะนั้นการออกแบบการต่อสู้ในคดีหลังนี้ได้มีการท้ากันระหว่างโจทก์กับจำเลย โดยขอให้สืบประเด็นเดียวว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ ทางเหมืองแร่ได้ปล่อยสารตะกั่วหรือไม่ ถ้าจำเลยผิดจริง ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านทั้ง 151 คนตามข้อตกลงเพื่อให้การพิจารณาคดีกระชับและเร็วขึ้น 

ว่าที่ ร.ต.สมชาย บอกว่า หากให้โจทก์ทั้ง 151 คนมาสืบพยานเพื่อเรียกค่าเสียหายสำหรับแต่ละคนจะใช้เวลานานมาก โดยทางฝั่งโจทก์ได้ยอมลดค่าเสียหายที่ฟ้องไป เดิมฟ้องเรียกค่าเสียหายให้โจทก์แต่ละคนเป็นเงินจำนวน 1 – 4 ล้านบาท แต่เมื่อได้มีการท้าพิสูจน์ความผิดกันจึงยอมใช้ตัวเลขชดเชยค่าเสียหายที่เหมาะสม 


ผลเลือดหลักฐานชิ้นสำคัญ

ว่าที่ ร.ต.สมชาย เปิดเผยว่า ทางทนายฝ่ายโจทก์ได้นำผลการตรวจเลือดเป็นหลักฐานสำคัญในการต่อสู้คดี โดยยกตัวอย่างว่า ถ้าโจทก์ที่ 1 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ตรวจพบสารตะกั่วในเลือดเกิน 10 ไมโครกรัม เกินค่ามาตรฐานให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ 600,000 บาท โดยไม่ต้องสืบพยาน แต่หากผลตรวจเลือดไม่เกิน 10 ไมโครกรัมก็ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้กับโจทก์จำนวน 300,000 บาทโดยไม่ต้องพิสูจน์ความเสียหาย เพราะฉะนั้นโจทก์ทั้ง 151 คนก็จะได้รับค่าเสียหายไม่เท่ากันซึ่งตัวเลขตรงนี้ทางฝ่ายจำเลยรับได้หากแพ้คดี

“หลังจากได้มีการท้าพิสูจน์กันแล้วทำให้กระบวนการในศาลชั้นต้นกระชับขึ้นก็ถือว่าเป็นการดำเนินคดีเร็วขึ้นและศาลมีคำพิพากษาเชื่อว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดจริงและให้จ่ายค่าเสียหายให้กับชาวบ้านตามค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้ซึ่งทำให้การพิารณาคดีเร็วขึ้นซึ่งถือว่าเป็นผลดีทางคดี” ทนายสมชายกล่าว


ศาลเชื่อเจ้าของโรงงานปล่อยสารตะกั่วลงลำห้วย

สำหรับประเด็นสำคัญที่ศาลได้ยกมาพิจารณาและมีคำสั่งให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้กับชาวบ้านนั้น ว่าที่ ร.ต.สมชาย บอกว่า ศาลเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของโรงงานและโรงงานของจำเลยมีการปล่อยสารตะกั่วออกสู่ลำห้วยคลิตี้จริง โดยเอกสารทางราชการที่ระบุว่า ลำห้วยคลิตี้ที่อยู่เหนือโรงแต่งแร่ตรวจพบในปริมาณค่อนข้างต่ำตามธรรมชาติ ส่วนตะกอนตะกั่วบริเวณหลังโรงแต่งแร่ซึ่งมีท่อปล่อยออกมาในลำห้วยมีปริมาณตะกั่วในปริมาณสูงกว่าบริเวณก่อนถึงตัวเหมืองหลายพันเท่าและพอตรวจไปเรื่อย ๆ และก็จะลดลงตามลำดับซึ่งศาลมองว่า ตะกั่วที่พบในปริมาณที่สูงเกิดจากโรงแต่งแร่โดยตรง

นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายที่สามารถแสดงได้ว่ามีการปล่อยน้ำจากบ่อเก็บกักแร่ตะกั่วลงสู่ลำห้วยสาธารณะโดยตรงซึ่งหน่วยงานราชการเองก็ได้เปรียบเทียบปรับโรงงานดังกล่าวจากการปล่อยน้ำลงสู่ลำห้วยไปแล้ว

“ เราใช้หลักฐานของกรมควบคุมมลพิษเป็นเอกสารสำคัญในการพิสูจน์และศาลก็เชื่อว่ามลพิษสารตะกั่วเหล่านี้ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานจริงเพราะฉะนั้นจำเลยต้องรับผิด” ว่าที่ ร.ต.สมชาย กล่าว


หลายหน่วยงานช่วยทำคดี

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการต่อสู้คดีนั้น ว่าที่ ร.ต.สมชาย บอกว่าในส่วนของการทำงานของคดีนี้ เนื่องจากชาวบ้านได้รับผลกระทบและความเสียหายค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นบุคคลชายขอบและมีผลการตรวจเลือดที่ชัดเจนว่าได้รับสารตะกั่วจริง

นอกจากนี้สภาทนายความและองค์กรอื่นที่ลงไปช่วยเหลือสามารถทำงานเป็นทีมได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อมและศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา สภาทนายความซึ่งได้เข้าไปทำงานในพื้นที่เกาะติดพื้นที่ทำให้ได้ข้อเท็จจริงในพื้นที่ค่อนข้างละเอียด 

ส่วนทนายความมีหน้าที่เอาข้อเท็จจริงที่มีอยู่ นำเสนอศาลเพื่อพิสูจน์ในศาล โดยทุกส่วนทำงานสอดคล้องกัน นอกจากนี้ในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีแผนกคดีสิ่งแวดล้อมทำใหผู้พิพากษาเข้าใจในประเด็นทางสิ่งแวดล้อมค่อนข้างดี ทำให้คดีนี้เป็นคดีที่ประสบความสำเร็จในเชิงของกฎหมายและการเรียกร้องค่าเสียหายที่อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

ในส่วนของความยากในการต่อสู้คดีนั้น เนื่องจากคดีสิ่งแวดล้อมเป็นสหวิชาชีพ เราจะต้องประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ นักวิชาการ แพทย์ และกรมควบคุมมลพิษในการลงพื้นที่ เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจกับพยาน ทนายความต้องเข้าไปพูดคุยในการนำเสนอข้อมูลก่อน 


ชี้เป็นต้นแบบคดีสิ่งแวดล้อม

ว่าที่ ร.ต.สมชาย บอกว่า คำพิพากษาคดีนี้ถือว่าเป็นคดีต้นแบบเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งคดีสิ่งแวดล้อมอื่นคงต้องเดินตามโดยในประเด็นแรกคือ เรื่องของอายุคดีสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปการละเมิดมักมีอายุความเพียง 1 ปีนับจากรู้เหตุและรู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่สำหรับคดีสิ่งแวดล้อมศาลมองว่า เป็นคดีที่กว่าจะปรากฎผลกระทบต้องใช้เวลานาน ดังนั้นศาลมองว่าคดีสิ่งแวดล้อมนั้นมีอายุความ 10 ปีนับจากวันที่มีการละเมิดซึ่งถือเป็นบรรทัดฐาน 


ในประเด็นที่สอง คนที่เป็นกรรมการของบริษัทต้องร่วมรับผิดกับตัวบริษัทด้วยซึ่งสำคัญมาก เพราะปกติคดีแพ่งทั่วไป การฟ้องคดีแพ่ง การฟ้องคดีบริษัท กรรมการไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวเพราะทำภายใต้ขอบอำนาจของบริษัท แต่ถ้าเป็นคดีสิ่งแวดล้อมฟ้องตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ศาลมองว่ากรรมการเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโรงงานและเมื่อโรงงานก่อมลพิษ เจ้าของซึ่งส่วนตัวเป็นกรรมการต้องรับผิดด้ว

“อันนี้สำคัญมาก เพราะจะใช้วิธีการเปิดโรงงานแล้วพอมีปัญหาปิดโรงงานหนีก็ไม่ได้ เพราะคำพิพากษาจะผูกพันกรรมการด้วยถือเป็นหัวใจสำคัญ”

นอกจากนี้อำนาจในการร้องขอให้จำเลยแก้ไขฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วย โดยปกติเวลาเกิดมลพิษ หน่วยงานรัฐมีหน้าที่ไปแก้ไขฟื้นฟู แต่สำหรับกรณีนี้ กรมควบคุมมลพิษก็มีหน้าที่เข้าไปแก้ไขฟื้นฟูและจำเลยก็มีหน้าที่เช่นเดียวกัน อีกทั้งต้องจ่ายเงินส่วนตัวด้วยซึ่งศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษารองรับสิทธิของชาวบ้านไว้แล้ว 

ประเด็นต่อมาคือการบังคับคดีหลังคำพิพากษาว่าชาวบ้านได้รับการชดเชยความเสียหายตามคำพิพากษาได้หรือไม่ จะให้จำเลยเข้ามาร่วมแก้ไขฟื้นฟูร่วมกับกรมควบคุลมลพิษอย่างไรหรือแบ่งหน้าที่อย่างไร ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน เพราะศาลมองว่าเรื่องการฟื้นฟูต้องเป็นหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษก่อนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกรมควบคุมมลพิษไปเรียกร้องเอาจากจำเลยในภายหลัง


บังคับคดีให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 30 วัน

สำหรับการบังคับคดีตามคำพิพากษานั้น ว่าที่ ร.ต.สมชาย บอกว่า จากนี้ต้องแจ้งคำพิพากษาให้จำเลยทราบภายใน 30 วันและให้จำเลยปฏิบัติภายใน 30 วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็จะมีการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกติดตามตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดและยึดหรืออายัดทรัพย์สินเอามาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาชำระให้โจทก์ 151 คน 

ส่วนที่สองขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อมีคำสั่งให้จำเลยเข้าไปแก้ไขฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ซึ่งยังเป็นปัญหาเนื่องจากในประเทศไทยยังไม่เคยมีกรณีเกิดขึ้นและถือเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ซึ่งต้องพิจารณาว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะสั่งให้จำเลยเข้าไปแก้ไขอย่างไร เพราะการแก้ไขลำห้วยต้องให้กรมควบคุมมลพิษเข้ามากำกับดูแล ตรงนี้กระบวนการบังคับคดีของศาลไทยจะทำอย่างไรให้สอดคล้องกัน เบื้องต้นจะร้องขอให้ศาลยุติธรรมที่จังหวัดกาญจนบุรีเรียกกรมควบคุมมลพิษเข้ามาในคดีของศาลแพ่งหลังจากนั้นสั่งให้กรมควบคุมมลพิษเป็นคนดำเนินการแก้ไขแล้วให้จำเลยเป็นผู้จ่ายค่าดำเนินการ แต่ศาลแพ่งมองว่ากรมควบคุมมลพิษไม่ใช่คู่ความในคดีแพ่งไม่เกี่ยวกัน ซึ่งยังเป็นประเด็นการบังคับคดีในเรื่องการฟื้นฟูลำห้วยตามหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายควรมีรูปแบบอย่างไร 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog