นอกจากวัฒนธรรมการข่มขืน การโทษ "เหยื่อข่มขืน" ว่าเป็นคนผิด นี่มันเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งรึเปล่าวะ?
คำถามโง่ๆ ของฉันผุดขึ้นมาในมโน เมื่อเห็นข่าวความระยำตำบอนเหลือหลายที่คน 40 คน ทำกับเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง คงเหมือนหลายคนแหละ ที่อ่านแว่บแรกแล้วต้องวนไปอ่านใหม่แบบไม่ค่อยเชื่อ ตามมาด้วยความหัวร้อน แล้วนึกย้อนไปถึงคดีข่มขืนระดับตำนานที่อำเภอพรหมพิราม ผิดกันแต่ว่า ครั้งนั้นชาวบ้านเองนี่แหละที่ทนไม่ไหวไปแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาจัดการ ขณะที่ครั้งนี้ชาวบ้านกลับมาเป็นผู้กล่าวโทษเด็กและแม่เด็กเสียเอง ในข้อหาที่ฟังแล้วร้องเฮ้ย! คือ "ทำให้ชุมชนเสียภาพลักษณ์"!!!
การข่มขืนอยู่คู่กับประวัติศาสตร์ การรบพุ่งคราใด มักมีเรื่องเล่าถึงกองทัพที่ทรงชัยกุมอำนาจเหนือคู่ต่อสู้อย่างเบ็ดเสร็จ แสดงแสนยานุภาพไร้ขอบเขตด้วยการข่มขืน หรือแม้แต่วาทะกรรมทหารพม่าย่ำยีลูกเมียชาวกรุงศรีฯ ก็ดูเหมือนจะถูกเอามาใช้ปลุกความโกรธเกรี้ยวพอๆ กับเรื่องเผาพระลอกทอง
แต่หลักฐานที่กล่าวถึงการ "ข่มขืน" ในเชิงอาชญากรรมบุคคลต่อบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับการสงครามดูเหมือนจะไม่ค่อยมีการบันทึกถึงในพงศาวดาร แต่ไม่ใช่ไม่มีซะเลย ยกตัวอย่างเช่น คดีช็อควังสมัยรัชกาลที่ 1 ที่ปรากฏชายชื่อ "ไอ้มา" ลอบเข้ามาเที่ยวเล่นในพระราชวัง กระทำอนาจารนางในหลายครั้ง และถึงกับได้ชำเราเจ้าจอมคนหนึ่ง แน่นอนว่าโทษถึงประหาร ขณะที่เจ้าจอมผู้น่าสงสารโดนถอดยศส่งกลับบ้าน
เรื่องข่มขืนเจ้าจอมนี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากที่สะท้อนถึงวิธีการปฏิบัติต่อ “เหยื่อ” ของสังคมบ้านเรา เพราะถึงไอ้บ้ากามจะโดนโทษหนัก แต่เจ้าจอมก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอย่างเก่า หรือแม้แต่ได้รับการยอมรับเช่นเดิมได้ พงศาวดารไม่ได้เขียนถึงชีวิตนอกวังของอดีตเจ้าจอม แต่ให้มโนเองฉันคิดว่าคงไม่ได้มีความสุขนัก ผู้หญิงถูกขืนใจ ซ้ำร้ายโดนถอดยศ ไม่ได้ทำผิดอะไรก็เหมือนทำผิด ต้องถูกโทษทัณฑ์แบบกลายๆ
เรื่องข่มขืนในพงศาวดารอีกเรื่องที่อยากพูดถึง อยู่ใน “ประชุมพงศาวดารภาคที่ 77 ประวัติศาสตร์ยูนนานและทางไมตรีกับจีน” อันนี้เล่าถึงกษัตริย์ยูนนานชื่อว่า "พระเจ้าชีล่ง" ราวปี พ.ศ.1415 ได้มาตั้งค่ายทหารในมณฑลเสฉวนโดยมีภิกษุชื่อ “สงมู่” เป็นกุนซือให้ มีอำนาจสิทธิ์ขาดขนาดสั่งการพระบรมวงศานุวงศ์ได้
ในพงศาวดารใช้คำยกย่องพระรูปนี้อย่างดีว่า "ภิกษุผู้ฉลาดปราดเปรื่อง" ไม่รู้เปรื่องอีท่าไหน ดันพยายามเข้าไปข่มขืนสนมนางหนึ่ง นางสนมไปฟ้องกษัตริย์ๆ จึงแนะอุบายบอกไปว่า ถ้าพระสงมู่ลอบเข้าหาอีก ให้แอบกลัดผีเสื้อที่ทำจากผ้าที่จีวรซะ เวลาพระมาเข้าเฝ้าผีเสือตัวนี้จะประจานพฤติกรรมฮีเอง
ในพงศาวดารบอกว่าพระสงมู่ก็ลอบเข้าหานางสนมอีกจนได้ แต่ที่พีคมันอยู่ตรงการเขียนพงศาวดารมันส์ๆ ตอนนี้ว่า
“ที่ปรึกษาผู้ทุศีลได้เข้าหานางสนมผู้นี้อีกครั้งหนึ่ง นางใจร้ายจึงลอบกลัดผีเสื้อตัวนั้นบนจีวร ...พระเจ้าชีล่งทอดพระเนตรเห็นผีเสื้อก็ทรงพิโรธ จึงรับส่งให้นำสงมู่ไปประหารชีวิต พระภิกษุผู้กระทำผิดยอมรับคำพิพากษาด้วยจิตใจของนักบุญ แต่เพชฌฆาตไม่สามารถใช้ดาบตัดศีรษะให้ขาดออกได้ด้วยพุทธานุภาพยังคุ้มครองอยู่”
เห็นอะไรไหม พงศาวดารเขียนถึงนางสนมผู้นั้นว่า “นางใจร้าย” เป็นนางใจร้ายในพงศาวดารเพียงเพราะอยากแฉความทุศีลของพระที่จะเข้ามาข่มขืนตัวเอง สะท้อนการมอง “เหยื่อ” เป็นคนผิดผ่านมุมมองของผู้เขียนพงศาวดาร
ฉันไม่อาจฟันได้ว่าการโทษเหยื่อข่มขืนว่าเป็นคนผิดมันเป็นวัฒนธรรมหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ พฤติกรรมที่ไร้ตรรกะ และไร้ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ซ้ำเติมจิตใจผู้ถูกกระทำแบบนี้ ดูเหมือนจะมีมายาวนาน
และที่น่ากลัวก็คือ มันไม่เคยเปลี่ยน ทัศนะและคุณภาพจิตใจเป็นอย่างไรเมื่อนับร้อยๆ ปีก่อน ทุกวันนี้ก็ยังเห็นไม่ต่างกัน
ภาพ: เพจ สนุกนึกกับนิวัติ กองเพียร