นักวิชาการต่างชาติระบุ การหลบหนีออกนอกประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สะท้อนถึงชัยชนะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบชายเป็นใหญ่และแนวคิดเหยียดเพศที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
เว็บไซต์ The Diplomat ได้เผยแพร่บทความเรื่อง ‘ชะตากรรมของยิ่งลักษณ์สะท้อนอะไรเกี่ยวกับการเหยียดเพศในไทย?’ (What Yingluck’s Fate Says About Sexism in Thailand?) เขียนโดยแมทธิว ฟิลลิปส์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียสมัยใหม่ มหาวิทยาลัยอเบอรีสวิธของสหราชอาณาจักร โดยฟิลลิปส์เสนอว่า การที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ นับเป็นชัยชนะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบชายเป็นใหญ่ในกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองของไทย และแนวคิดเหยียดเพศที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
ฟิลลิปส์เสนอว่า แม้การหลบหนีออกนอกประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะทำให้นักประชาธิปไตยและกลุ่มผู้สนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์บางส่วนมองว่า เป็นการทรยศมวลชนที่ให้การสนับสนุน แต่การมองเช่นนี้กลับละเลยปัจจัยด้านวัฒนธรรมการเหยียดเพศ ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกโค่นล้ม
ฟิลลิปส์ระบุว่า เมื่อปี 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองโดยขาดประสบการณ์ ทำให้เธอถูกมองเป็นเพียงเงาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นอีกหนึ่งหัวโขนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกในสังคมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยืดเยื้อเกือบ 10 ปี ซึ่งความอ่อนต่อการเมืองของน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ถูกสะท้อนผ่านแคมเปญรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นที่ว่า 'ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ'
อย่างไรก็ตาม ฟิลลิปส์วิเคราะห์ว่า ระหว่างที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เธอได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างแบรนด์ทางการเมืองของตัวเองขึ้น และยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพรรคเพื่อไทยว่าเป็นพลังก้าวหน้าทางการเมือง
แต่ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ตกเป็นเหยื่อของการเหยียดเพศมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อปี 2556 ที่กลุ่มกปปส. ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยหยิบยกประเด็นเรื่อง 'เพศ' และ 'ความเป็นหญิง' ของเธอมาโจมตี แม้แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ใช้เรื่องเพศมาโจมตีน.ส.ยิ่งลักษณ์
ฟิลลิปส์ได้อ้างบทความของนิค นอสติทซ์ ที่วิเคราะห์ว่า วาทกรรมเหยียดเพศไม่ได้ถูกนำมาใช้เฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงเท่านั้น แต่การเหยียดเพศเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย และวาทกรรมเหยียดเพศยังถูกนำมาใช้และต่อยอดโดยชนชั้นนำทางการเมืองของไทยด้วย
ฟิลลิปส์ยกตัวอย่างกรณีที่นายธัญญา สังขพันธานนท์ ศิลปินแห่งชาติแต่งกลอนเหยียดเพศโจมตีน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่กระทรวงวัฒนธรรมกลับปฏิเสธที่จะกล่าวตักเตือนนายธัญญา โดยระบุว่า เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล และการที่นายจรูญ หยูทอง นักเขียนและนักวิชาการได้ออกมาโจมตีผู้ที่วิจารณ์นายธัญญาว่า ไม่เข้าใจอารมณ์ขันในสังคมไทย ซึ่งเรื่องนี้ได้สะท้อนถึงปัญหาวัฒนธรรมการเหยียดเพศที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
นอกจากนี้ ฟิลลิปส์ยังวิเคราะห์อีกว่า การเหยียดเพศและความรุนแรงทางเพศในสังคมไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จนชาวไทยรู้สึกเฉยชาไม่ตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ละครไทยหลายเรื่องต่างมีฉากการข่มขืน แต่แทบไม่มีตัวละครชายที่ลงมือข่มขืนรายใดถูกจับกุมหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย และส่วนใหญ่ตัวละครหญิงที่ตกเป็นเหยื่อการข่มขืนก็มักจะนิ่งเฉย
ด้วยเหตุนี้เอง ฟิลลิปส์จึงมองว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วาทกรรมเหยียดเพศจะถูกนำมาใช้โจมตีน.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากในแง่หนึ่ง ภาพลักษณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกผูกติดอยู่กับนายทักษิณ ซึ่งเป็นที่รังเกียจของชนชั้นนำทางการเมืองของไทย ชนชั้นนำเหล่านี้จึงมองว่า ทุกๆ การกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายตามอุดมการณ์พรรคหรือตามวาระทางการเมืองที่ได้นำแถลงต่อรัฐสภา ล้วนเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากระเบียบและบรรทัดฐานทางการเมืองของชนชั้นนำ
ฟิลลิปส์วิเคราะห์ว่า แม้ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะมีนายกรัฐมนตรีหลายคนที่เคยถูกเล่นงานทางการเมือง แต่ในกรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นต่างออกไป เพราะเธอถูกทำให้กลายเป็นวัตถุทางเพศด้วย โดยฟิลลิปส์ระบุว่า หากนายทักษิณทำลายระเบียบของชนชั้นนำทางการเมือง ด้วยการให้ความสำคัญกับชาวนามากกว่าชนชั้นนำในเมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้ทำลายระเบียบ ด้วยการเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่มีอำนาจ
ดังนั้น ฟิลลิปส์จึงมองว่า แม้การโค่นล้มน.ส.ยิ่งลักษณ์จะไม่ได้มีสาเหตุมาจากวัฒนธรรมการเหยียดเพศเสียทั้งหมด แต่การเหยียดเพศก็เป็นปัญหาสำคัญที่ดำรงอยู่จริงในวัฒนธรรมการเมืองและสังคมไทย นอกจากนี้ การใช้ความรุนแรงทางเพศยังเป็นเครื่องมือที่สังคมไทยยอมรับ ซึ่งเป็นสาเหตุให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ตกเป็นเป้าของการใช้วาทกรรมเหยียดเพศเสมอมา
ด้วยเหตุนี้เอง การหลบหนีออกนอกประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่ใช่เพียงชัยชนะของกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะของระเบียบการเมืองแบบชายเป็นใหญ่ และวัฒนธรรมเหยียดเพศในสังคมไทยด้วย
เรียบเรียงโดย: สลิสา ยุกตะนันทน์