ไม่พบผลการค้นหา
กฎหมายดังกล่าว ก็คือ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. ....ครอบครัว โดยมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการ “มีกิ๊ก” ว่าเป็นการทำร้ายจิตใจรูปแบบหนึ่งด้วย

ผมได้ยินคำว่า “กิ๊ก” เป็นครั้งแรก ตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เมื่อ 15 ปีก่อน แต่ในเวลานั้น คำๆ นี้ยังเป็นคำที่ฮิตจำกัดแค่ในหมู่วัยรุ่น เช่นเดียวกับคำว่า “จ๊าบ” ที่แปลว่า เท่ หรือ “เรื้อน” ที่แปลว่า สนุกสนาน

ที่สำคัญ ความหมายของกิ๊กเวลานั้น หมายถึง คนที่เริ่มต้นคบหาดูใจ “กิ๊กๆ กั๊กๆ” ในระดับเกินกว่าเพื่อน แต่ยังไม่ตกลงเป็นแฟน ไม่ใช่ความหมายที่คนในสังคมไทยเข้าใจในปัจจุบัน

ความหมายของกิ๊ก เปลี่ยนมาเป็น “ชู้” ไปตั้งแต่เมื่อไร ยากจะรู้ได้ แต่ถ้าถึงขนาดราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติความหมายไว้ว่า “เพื่อนสนิทต่างเพศ ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว” ก็แปลว่า คนส่วนใหญ่คงเข้าใจในความหมายแบบนั้น

ทีนี้ คำว่ากิ๊กกลายมาเป็นข่าวใหญ่ให้สังคมได้ฮือฮา เพราะคนระดับนายกรัฐมนตรีไปพูดกับชาวบ้านที่มารอต้อนรับในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่โคราชว่า “ใครผัวทิ้งมาบอกผม เพราะผิดกฎหมายทำไม่ได้ กฎหมายให้มีเมียเดียวจะมีกิ๊กก็ไม่ได้ และกฎหมายกำลังออก” ซึ่งสื่อมวลชนก็จับประเด็นว่า รัฐบาลนี้เตรียมจะออก “กฎหมายห้ามมีกิ๊ก” จนกลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับ แม้วันต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาปฏิเสธว่า ไม่มีกฎหมายนี้ แค่พูดเล่น เพราะกลัวฟังง่วงก็ตาม

ทว่าผู้เกี่ยวข้องกับออกมาให้ข้อมูลที่สวนทางกับท่านผู้นำว่า กฎหมายห้ามมีกิ๊กมีอยู่จริง ที่ประชุม ครม. เพิ่งให้ความเห็นชอบไปเมื่อต้นปีนี้เอง อยู่ระหว่างรอเสนอให้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาออกมาบังคับใช้

สำหรับชื่อของกฎหมายดังกล่าว ก็คือ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือการแก้ไข พ.ร.บ.ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 เนื่องจากกฎหมายเดิมยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว โดยกฎหมายใหม่จะเพิ่มเติมการ “มีกิ๊ก” ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจรูปแบบหนึ่งเข้าไปด้วย พร้อมกำหนดอัตราโทษไว้กรณีฝ่าฝืนคือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม การห้ามมีกิ๊กตามกฎหมายใหม่จะจำกัดเฉพาะ “คู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย” และให้ยกเว้นแก่บางศาสนาที่อนุญาตให้สามีมีภรรยาได้หลายคน

สำหรับแนวคิดเบื้องหลังการออกกฎหมายฉบับนี้  ก็คือค่านิยมเรื่อง “ผัวเดียวเมียเดียว” ซึ่งเป็นค่านิยมในตะวันตกที่เริ่มมาสู่เมืองไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

เว็บไซต์สถาบันพระปกเกล้า ให้ข้อมูลว่า ผู้ที่ริเริ่มธรรมเนียมการครองคู่แบบ “1 สามี - 1 ภรรยา” ในสังคมไทย ก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ที่นอกจากจะอภิเษกสมรสตามกฎมณเฑียรบาล ยังทรงจดทะเบียนแต่งงานกัน

ในรัชกาลถัดมา ก็มีการตรา พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ.2473 โดยสาระสำคัญคือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่รับรองสถานะของผู้หญิงที่เป็น “ภรรยา” ด้วยทะเบียนสมรสและการหย่า แต่การเปลี่ยนแปลงค่านิยมดั้งเดิมให้กลายมาเป็นสังคมผัวเดียวเมียเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าที่ พ.ร.บ.ที่ว่าจะมีผลบังคับใช้ ก็ให้เวลาปรับตัวอยู่ถึง 2 ปี

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลคณะราษฎรได้นำ พ.ร.บ.นี้ไปรวมไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.แพ่งและพาณิชย์) บรรพที่ 5 ว่าด้วยเรื่องครอบครัว ซึ่งยังคงยึดหลักการให้มีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย “เพียงคนเดียว” และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดถึงต้องใช้ ป.แพ่งและพาณิชย์ในการฟ้องร้องเพื่อหย่าร้าง

อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้ว พฤติกรรมมีกิ๊ก หรือมีชู้ มีโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว โดยเฉพาะ “โทษทางแพ่ง” ซึ่ง ป.แพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้ผู้เสียหายจากมีชู้นั้นๆ สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหาย ที่ภาษากฎหมายเรียกว่า “ค่าทดแทน” ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถฟ้องหย่า เพื่อแบ่งทรัพย์สมบัติที่ได้ภายหลังสมรสกันก็ยังได้

“กฎหมายห้ามมีกิ๊ก” ฉบับใหม่ (จริงๆ การห้ามมีกิ๊กเป็นเพียงเนื้อหาส่วนเดียว แต่เรียกแบบนี้ให้เข้าใจได้ง่ายกว่า) ที่กำลังจะออกจึงเป็นเพียงการเพิ่มเติม “โทษทางอาญา” เท่านั้น ซึ่งณรงค์ คงคำ โฆษกของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หน่วยงานที่เป็นผู้ยกร่างกฎหมายระบุว่า มีเจตนาเพื่อ “ป้องปราม” การกระทำผิด

จากการพูดเล่นๆ แก้ง่วง ว่าด้วยเรื่องของคนสองสามคนของท่านผู้นำ จึงนำไปสู่วาระระดับชาติว่าด้วยการออกกฎหมายใหม่เพื่อคุ้มครองสถาบันครอบครัว ซะอย่างนั้น
 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog