ไม่พบผลการค้นหา
ธุรกิจข้าวเป็นอุตสาหกรรมที่คนไทยเชื่อว่าแม้จะเป็นอาชีรพหลัก แต่กลับไม่ทำรายได้ให้เกษตรกร แถมยังต้องเผชิญกับปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต แต่ในเวียดนาม การทำนาออร์แกนิกเริ่มได้รับความนิยม จนกระทั่งมีนาข้าวออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ส่งข้าวและผชิตภัณฑ์เกษตรนานาชนิดไปขายได้ถึงยุโรปและญี่ปุ่น

ธุรกิจข้าวเป็นอุตสาหกรรมที่คนไทยเชื่อว่าแม้จะเป็นอาชีรพหลัก แต่กลับไม่ทำรายได้ให้เกษตรกร แถมยังต้องเผชิญกับปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต แต่ในเวียดนาม การทำนาออร์แกนิกเริ่มได้รับความนิยม จนกระทั่งมีนาข้าวออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ส่งข้าวและผชิตภัณฑ์เกษตรนานาชนิดไปขายได้ถึงยุโรปและญี่ปุ่น

ฟาร์มเวียนฝู่ ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาของจังหวัดก่าเมา พื้นที่เพาะปลูกข่าวที่ใหญ่ที่สุดและอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเสียดนาม ห่างจากตัวเมืองเพียงประมาณ 20 นาที แต่ปราศจากกลิ่นอายของเมืองใหญ่อย่างสิ้นเชิง ที่นี่มีเนื้อที่รวมกว่า 2,000 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นนาข้าว แปลงผัก และบ่อเลี้ยงปลา

ฟาร์มเวียนฝู่เป็นนาข้าวออร์แกนิกแบบบริสุทธิ์ 100% โดยที่ดินทั้งหมด เป็นที่ดินใหม่ที่ไม่เคยผ่านการทำเกษตรมาก่อน เพื่อไม่ให้มีสารตกค้างหลงเหลือในดิน ส่วนความกว้างใหญ่ของฟาร์ม ก็เป็นป้อมปราการที่แข็งแรง ป้องกันไม่ให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีจากนาอื่นเข้ามา ไม่ว่าจะจากกระแสน้ำหรือลม ซึ่งเป้นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฟาร์มเวียนฝู่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากทั้งสหรัฐฯและอียู ในขณะที่การทำฟาร์มออร์แกนิกขนาดเล็กจะเผชิญความท้าทายในด้านนี้มากกว่า เพราะแม้ฟาร์มของตนเองจะไม่ใช้สารเคมี แต่ก็อาจเจอสารปนเปื้อนจากฟาร์มใกล้เคียง

การเข้าไปในนาข้าวของฟาร์มเวียนฝู่ ต้องนั่งเรือเข้าไป แล้วต่อด้วยรถแทรกเตอร์ ไม่มีถนนตัดผ่าน ท้องทุ่งนากว้างใหญ่ไพศาลจึงปลอดจากสารเคมีและมลภาวะจากโลกภายนอกกว่านาข้าวขนาดเล็กหลายเท่า


บนพื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนของนาข้าว เวียนฝู่ปลูกข้าวหลายสายพันธุ์ ทั้งข้าวขาว ข้าวแดง และข้าวสีนิล แต่ส่วนใหญ่เป็นข้าวขาว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาของเวียนฝู่ ซึ่งเป็นผู้ดูแลฟาร์มแห่งนี้ ยอมรับว่านาข้าวออร์แกนิกไม่ได้ทำง่าย และไม่ได้ผลผลิตดีเท่ากับนาข้าวแบบปกติที่ใช้ทั้งปุ๋ยและสารเคมี ปกติชาวเวียดนามทำนากันปีละ 4 ครั้ง ได้ผลผลิตต่อไร่มากถึง 10-15 ตัน แต่เมื่อเป็นฟาร์มออร์แกนิก 100% แบบที่นี่ ซึ่งไม่ใช่ยาฆ่าแมลง และใช้เพียงปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแบบโฮมเมด การทำนาจะทำได้แค่ปีละ 2 ครั้ง และผลผลิตต่อไร่ก็น้อยกว่าหลายเท่า เพียง 2-2.5 ตัน

ภาพจาก http://www.vienphugreenfarm.com

ข้าวที่นี่จะไม่ค่อยสม่ำเสมอแน่นผืนนาเหมือนนาข้าวแบบที่เราคุ้นชิน และต้นข้าวก็ไม่สมบูรณ์นัก เพราะไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี แต่สิ่งที่ได้ก็คือข้าวที่สะอาดปราศจากสารปนเปื้อน รวมถึงสิ่งแวดล้อมภายในนาที่บริสุทธิ์ไม่ต่างจากนาข้าวในยุคโบราณ และที่สำคัญ สุขอนามัยของคนงานก็ดี ไม่ต้องเผชิญกับเคมีตลอดเวลาเหมือนชาวนายุคใหม่ทั่วๆไป นอกจากนี้ ข้าวออร์แกนิกยังขายได้ราคาดีกว่าข้าวปกติหลายเท่า เมื่อคิดแล้วก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนและผลผลิตต่อไร่ที่น้อยกว่าปกติ

แปลงผักออร์แกนิกและบ่อปลาของเวียนฝู่เป็นกิจการที่ต่อยอดมาจากการทำนาข้าว เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกให้ครบวงจร และใช้ของเหลือจากการเกษตร เช่นแกลบ เศษผัก ซังข้าว ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนของแปลงผักจะใช้พื้นที่น้อยกว่านาข้าวมาก ประมาณ 250 ไร่ เพราะไม่ใช่สินค้าหลักของเวียนฝู่ ผักจะปลูกขายตลาดภายในประเทศ เจาะตลาดบนโดยเฉพาะ เนื่องจากราคาผักออร์แกนิกของที่นี่จะสูงกว่าผักในท้องตลาดทั่วไปถึง 4 เท่า ส่วนปลาที่เลี้ยงในบ่อ เป็นปลานิล เลี้ยงเพื่อส่งขายตลาดยุโรปโดยเฉพาะ

ภาพจาก http://www.vienphugreenfarm.com

แปลงผักออร์แกนิกเวียนฝู่ก็ไม่ต่างจากนาข้าว ผักที่ได้ ไม่ว่าจะจากการปลูกแบบกางมุ้ง หรือไม่กางมุ้ง จะไม่ต้นอวบใหญ่สวยงามเท่าผักในท้องตลาด เพราะใช้เพียงปุ๋ยขี้วัว และปุ๋ยที่หมักเองจากวัสดุเหลือใช้ในฟาร์ม แถมผลผลิตก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะมีหญ้าขึ้นแซมแปลงผักจากการไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ยังดีที่ปัจจุบัน ชาวเวียดนามเริ่มหันมารักสุขภาพ นิยมผักเล็กแกรนและมีรูเล็กน้อย เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ทำให้ผักออร์แกนิกได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนปลานิล��นบ่อดินธรรมชาติก็เลี้ยงแบบดั้งเดิมเช่นกัน ให้กินอาหารตามธรรมชาติ บวกกับเศษผักและอาหารเสริมคือแกลบที่เหลือจากการสีข้าวในนา ไม่มีการใช้ฮอร์โมน สารเคมี ยาปฏิชีวนะใดๆทั้งสิ้น ตามมาตรฐานการเลี้ยงปลาออร์แกนิกของสหภาพยุโรป ปลาที่เลี้ยงแบบธรรมชาติเช่นนี้ ต้องใช้เวลาถึง 1 ปีกว่าจะจับขายได้ ต่างจากปลาในฟาร์มทั่วไปที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูป ซึ่งใช้เวลาเพียง 3-4 เดือน ก็ได้ขนาดพอที่จะส่งออกขาย

ภาพจาก http://www.vienphugreenfarm.com

แม้ว่าเวียนฝู่จะได้เปรียบฟาร์มออร์แกนิกอื่นๆ ตรงที่เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ มีระบบการจัดการที่ดี หมดปัญหาเคมีปนเปื้อนจากฟาร์มข้างเคียงเหมือนเกษตรกรออร์แกนิกรายเล็กๆ และมีตลาดต่างประเทศรองรับ จนไม่มีปัญหาในด้านการตลาด แต่ความยากลำบากของการทำฟาร์มออร์แกนิกมาตรฐานสากลก็คือการต้องรักษามาตรฐานอย่างเคร่งครัด

ทุกๆปี เจ้าหน้าที่จาก USDA หรืออย.ของสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการความปลอดภัยด้านอาหารและการเกษตรจของสหภาพยุโรป จะมาตรวจตราฟาร์มเวียนฝู่ วัดค่าเคมีในดิน น้ำ และผลิตภัณฑ์ทุกชนิด รวมถึงฝังชิปในปลาบางตัว เพื่อตรวจสอบปริมาณสารตกค้าง และหากพบสิ่งผิดปกติแม้แต่นิดเดียว ใบรับรองออร์แกนิกที่เวียนฝู่ใช้สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ก็จะถูกยกเลิก ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อธุรกิจอย่างมหาศาล แต่ฟาร์มเวียนฝู่ยอมรับว่าความเสี่ยงนี้คุ้มค่าที่จะแบกรับ เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ได้ตอบแทนกลับมา รวมถึงสิ่งที่วัดเป็นตัวเงินไม่ได้อย่างสิ่งแวดล้อมที่ดี และสุขอนามัยของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

แม้ว่าปัจจุบัน การเกษตรแบบออร์แกนิกจะเริ่มได้รับความนิยมในเวียดนาม เพราะชาวนาต้องการกระดับคุณภาพชีวิตตนเอง คนรุ่นใหม่กลับไปทำการเกษตร และใช้ความรู้สมัยใหม่พัฒนาต่อยอดกิจการของบรรพบุรุษกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นายหวอมินไข่ ประธานบริษัทเวียนฝู่ ผู้บุกเบิกการทำฟาร์มออร์แกนิกขนาดใหญ่แห่งแรกในเวียดนาม ยอมรับว่ารัฐบาลเวียดนามยังไม่ได้ส่งเสริมธุรกิจออร์แกนิกมากพอ การทำฟาร์มเกษตรสมัยใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นในเวียดนามหรือไทย เพราะเกษตรกรยังไม่มีความรู้มากนัก และอุปสรรคสำคัญก็คือการทำการตลาด รัฐบาลจึงมีหน้าที่ต้องส่งเสริมความรู้และทักษะให้ผู้ประกอบการ รวมถึงช่วยกระจายสินค้าด้วย

ภาพจาก http://www.hoasuafoods.com

Hoa Sua Food แบรนด์อาหารออร์แกนิกของเวียนฝู่ ผลิตสินค้าส่งออกไปยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสิงคโปร์เป้นหลัก สินค้าขายดีอันดับหนึ่งคือผลิตภัณฑ์ข้าวชนิดต่างๆ ตั้งแต่ข้าวขาว ไปถึงข้าวแดง และข้าวดำเพาะงอก ที่ได้ชื่อว่าเป็นซูเปอร์ฟูด

นอกจากการทำการตลาด หาลูกค้าในต่างประเทศ และรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์ การแปรรูปเพิ่มมูลค่าก็เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของเวียนฝู่ ที่นี่ไม่ได้ขายแค่ข้าว แต่ยังต่อยอดผลิตภัณฑ์โดยใช้อาหารเวียดนามดั้งเดิมเป็นรากฐาน ไม่ว่าจะเป็นเส้นเฝอและสปาเก็ตตี้จากข้าว หรือไวน์ข้าวผสมกล้วยและเบอรี ถือเป็นการยกระดับสินค้าเกษตรพื้นบ้านสู่ตลาดอาหารออร์แกนิกระดับโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ไวน์ข้าวและกล้วยผสมเบอรีป่า หนึ่งในตัวอย่างการแปรรูปข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าของเวียนฝู่ รสชาติหอมหวานข้าวและกล้วยเป็นเอกลักษณ์ ต่างจากไวน์องุ่นทั่วไป

ต้องจับตาดูต่อไปว่าธุรกิจออร์แกนิกในเวียดนาม จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐจนสามารถเติบโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น ไทยก็ต้องย้อนกลับมาสำรวจตัวเองด้วยเช่นกันว่าจะให้เวียดนามครองตลาดพรีเมียมอย่างข้าวออร์แกนิก หรือจะพร้อมลงสู้ในสนามนี้ด้วย

ชมรายการ iASEAN ตอน นาข้าวออร์แกนิกใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่เวียดนาม

 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
181Article
60261Video
0Blog