ไม่พบผลการค้นหา
ลิปสติกเก่าๆ ที่ซื้อมาจนเกินจะใช้ แทนที่จะเก็บไว้ทิ้งไว้ที่ก้นกระเป๋า มันอาจมีความหมายอย่างมากต่อผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งที่ไร้ซึ่งอิสรภาพ

ความเป็นอยู่ในคุกไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย...พรทิพย์ มั่นคง อดีตนักโทษคดีการเมืองที่ถูกจองจำมา 2 ปี ยืนยันได้ถึงเรื่องนี้

หากจะทำอะไรให้ตัวเองสดชื่นขึ้นได้บ้าง เหล่า "สาวหลังกำแพง" หลายคนเลือกที่จะลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัว โดยใช้เครื่องสำอางจำกัดจำเขี่ยเท่าที่ร้านในคุกจะมีวางขาย หรือทำเองด้วยวัตถุดิบตามแต่จะหาได้

"เอาสีผสมอาหารผสมในวาสลีนแล้วก็หยอดใส่กระปุกใหม่ ซึ่งเป็นกระปุกพิมเสน ทีนี้ลิปที่ได้ก็จะเย็นเหมือนลิปไอซ์เลย แล้วก็สีแบบจัดจ้านมาก" พรทิพย์เล่าย้อนความทรงจำเมื่อตอนเธออยู่ในคุกให้ฟัง "ราคาก็แพงอยู่ กระปุกเล็กๆ ประมาณ 150 บาท"

หลังจากได้รับอิสรภาพ เธอและวาทินี ชัยถิรสกุล นักกิจกรรมและแฟชั่นบล็อกเกอร์ จึงคิดทำโปรเจกต์ “ส่งมอบความสวยให้สาวหลังกำแพง” ขึ้น

ขังตัว อย่าขังหัวใจดีกว่า

"ในฐานะที่เราเป็นผู้หญิงนะ เราจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจ เวลาเราเศร้า เวลาเราซึม สิ่งที่จะช่วยเหลือเยียวยาเราในพื้นฐานขั้นต้น ก็คือความสวย" วาทินี ผู้ร่วมก่อตั้งโปรเจกต์บอก

อุปกรณ์ต่างๆ เขามีงบประมาณให้อยู่แล้ว แต่เครื่องสำอางไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ ไม่ใช่เรื่องทางกาย แต่เป็นเรื่องทางใจ ที่เขาจะอยู่ให้ได้ ในพื้นที่ที่โดนกักกันแบบนั้น

ลิปสติก เป็นเครื่องสำอางตกแต่งริมฝีปากที่มีงานวิจัยพบว่าสามารถทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นได้จริง จนถึงขนาดที่มีปรากฏการณ์ “Lipstick Effect” ขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในสหรัฐฯ และยุโรป เมื่อประชาชนต้องประหยัดอย่างหนัก แต่ยอดขายเครื่องสำอางกลับพุ่งสูง โดยสาเหตุหนึ่งก็คือการแต่งหน้าช่วยสาวๆ ผ่อนคลายความเครียดได้

"นอกจากเป็นการเยียวยาจิตใจแล้ว มันยังเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้หญิงควรจะมี" พรทิพย์กล่าวเสริม 

 

ส่งความสวยใส่ตลับ

หลังจากประกาศลงในโซเชียลมีเดีย แชร์ใน Facebook มากกว่า 2,000 ครั้ง โปรเจกต์นี้ก็ได้รับบริจาคลิปสติกทั้งหมดมาราว 10,000 แท่ง!

พรทิพย์และวาทินีชวนเพื่อนสาวๆ มาช่วยกันคัดแยกเฉดสี ก่อนจะนำมาใส่กระดาษฟอยล์ หลอมด้วยความร้อนจากเตา แล้วจึงเทใส่ตลับใหม่ 

ทุกขั้นตอนไม่ได้ทำส่งๆ แต่ตั้งใจส่งต่อของที่ดีให้จริงๆ โดยบางแท่งมีกลิ่นหืน ก็ต้องคัดทิ้งเพราะหมดอายุ บางทีแต่ละแท่งเหลือเนื้อลิปสติกน้อย ก่อนจะหลอมก็ต้องตัดปลายลิปสติกออกเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากปากเจ้าของเดิม และดมกลิ่นเป็นอันดับแรก การนำสลิปสติกขึ้นกระทะก็เป็นการฆ่าเชื้อโรคทางหนึ่ง สุดท้ายจากหมื่นแท่ง จึงหลอมมาใส่ตลับได้เกือบ 1,000 ตลับ

ที่ต้องทำใส่ตลับ ก็เป็นไปตามข้อตกลงกับทางเรือนจำ แม้มีหลายเสียงถามเข้ามาว่าเครื่องสำอางแบบอื่นจะบริจาคได้ไหม แต่เนื่องจากทางกลุ่มยังไม่ได้คุยกับทางเรือนจำ จึงยังรับปากไม่ได้

 

ตลาดมืด และสภาพภายในคุกของ "ผู้หญิง"

"นักโทษคนหนึ่ง ได้รับค่าแรงจากการทำงานขั้นต่ำเฉลี่ยวันละ 8 บาท และค่าแรงออกทุกๆสามเดือน ราคาเครื่องสำอางแต่ละอย่างนั้น สูงกว่าค่าแรงในแต่ละวันของพวกเขาอยู่แล้ว

มันคงไม่ยากสำหรับคนมีญาตมาเยี่ยมมีเงินในบัญชีไม่เคยขาด แต่ในจำนวนนักโทษ กว่า 5,000 คนนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีญาติ และไม่มีเงิน แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร

ช่องว่างเหล่านี้ทำให้เกิด ตลาดมืด ที่มีการนำเครื่องสำอางเข้าไปขายให้นักโทษในราคาแพงเกินกว่าท้องตลาดถึงเกือบ 100 เท่า"

เช่น ดินสอเขียนคิ้ว ข้างนอกราคา 15 บาท แต่ในคุกขาย 150 บาท ลิปสติก มิสทีนราคา 29 บาทสามารถขายได้ถึง 300 บาท แม้แต่ลิปสติคที่แท่งหนึ่งหั่นเป็น 4 ท่อนแบ่งขายยังขายท่อนละ 80-100 บาท

นี่คือสิ่งที่พรทิพย์เผยในโพสต์บน facebook ของเธอ โดยสำนักข่าว AFP รายงานว่า ประเทศไทยมีนักโทษหญิงราว 39,000 คน ถือว่าแน่นกว่าคุกของประเทศอื่น โดยร้อยละ 80 มาจากคดียาเสพติด ซึ่งกำหนดโทษสถานหนัก เพียงมียาไอซ์ไม่กี่เม็ดในครอบครอง ก็ติดคุกหลายสิบปีได้แล้ว

ความเป็นอยู่ภายในก็แออัด ส่วนใหญ่นักโทษหญิงเหล่านี้ต้องนอนรวมกันบนเสื่อน้ำมันโดยไม่มีฟูกใดๆ รองรับ ขณะที่ห้องน้ำที่มีอยู่เพียงห้องเดียวหลังคุก ก็ไม่มีแม้แต่ประตูกั้นความเป็นส่วนตัว

ในสภาพเช่นนี้ การดูแลตัวเองให้สวยจึงเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจ แม้คนภายนอกอาจจะถามว่าแต่งไปให้ใครดู

แต่ลิปสติกตลับเล็กเหล่านี้ จะถูกส่งเข้าไปเพื่อให้กำลังใจสู้กับสภาพในคุกที่ทรมาน 

และคืน "ความเป็นผู้หญิง" ให้กับพวกเธอ

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog