ไม่พบผลการค้นหา
ก่อนที่จะไปดู Dunkirk หนังเรื่องใหม่ล่าสุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่เพิ่งเข้าฉายวันนี้เป็นวันแรก ลองมาดูกันว่าหนังที่ผ่านมาของโนแลนมีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง

ก่อนที่จะไปดู Dunkirk หนังเรื่องใหม่ล่าสุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่เพิ่งเข้าฉายวันนี้เป็นวันแรก ลองมาดูกันว่าหนังที่ผ่านมาของโนแลนมีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง

คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็นผู้กำกับหนังยุคใหม่ที่ได้รับการชื่นชมจากนักดูหนังทั่วโลกด้วยวิสัยทัศน์และมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าคนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็สามารถนำเสนอเรื่องราวที่ยุ่งยากซับซ้อนออกมาได้อย่างตื่นเต้น ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับในดวงใจทั้งของคอหนังสายคุณภาพและสายดูเอามันส์ แม้เขาจะถูกวิจารณ์ว่ายังมีปัญหาเกี่ยวกับเทคนิคการเล่าเรื่องและบทหนังยังมีช่องโหว่ในหลายๆจุด แต่โดยรวมๆหนังของเขาทุกๆเรื่องก็มีความน่าสนใจ สนุกมาก สนุกน้อย ต่างกันไป และไม่ว่าใครจะบูชาหรือเฉยๆกับโนแลน แต่นี่คือหนัง 5 เรื่องของโนแลนที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

1) Batman Begins (2005)

โนแลนได้รับมอบหมายจากทางค่ายวอร์เนอร์ให้นำแบทแมนกลับมาขึ้นจอภาพยนตร์อีกครั้งให้ยิ่งใหญ่และสมศักดิ์ศรี ซึ่งโนแลนก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ด้วยการเล่าเรื่องราวของแบทแมนใหม่หมดจดตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยโทนอารมณ์ที่ลึกลับจริงจังเหมือนหนังแนวอาชญากรรม แต่ก็ยังรักษากลิ่นอายความนัวร์ของการ์ตูนเอาไว้ ทำให้ Batman Begins โดดเด่นออกมาจากหนังฮีโรเรื่องอื่นๆที่ทำออกมามีสีสันจัดจ้านและมีกลุ่มคนดูเป้าหมายเป็นเด็กและวัยรุ่น  

แม้จะเป็นหนังแอคชัน แต่ Batman Begins ก็ให้ความสำคัญกับพัฒนาการและการกระทำของตัวละครที่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ Batman Begins เป็นการตีความฮีโรในแง่มุมใหม่หมดจด และพาคนดูเข้าไปสำรวจจิตใจของแบทแมนในแง่ที่ไม่เคยมีใครขุดคุ้ยมาก่อน จนกลายเป็นการเปิดฉากไตรภาคหนังฮีโรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

 

2) The Dark Knight (2009)

โนแลน สานต่อความสำเร็จของ Batman Begin ด้วย The Dark Knight ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนังแบทแมนที่โนแลนปล่อยของออกมาโดยไม่มีการกั๊ก เนื่องด้วยใน Batman Begins โนแลนอาจจะยังต้องลองเชิงการเล่าเรื่องแบทแมนแบบใหม่โดยให้มีกลิ่นอายของความเป็นการ์ตูนหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ใน The Dark Knight  แทบจะไม่มีความเป็นการ์ตูนหลงเหลืออยู่เลย มันกลายเป็นหนังอาชญากรรมดรามาที่มีฉากแอคชันใหญ่โตเต็มรูปแบบ โดยมีตัวละครที่ยืนอยู่กันคนละฝั่งอย่างโจ๊กเกอร์ที่ไม่เชื่อถือในกฎเกณฑ์ใดๆ และแบทแมนที่เชื่อมั่นในกฏเกณฑ์ เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งการต่อสู้กันของสองตัวละครนี้ไม่ได้เน้นไปที่การปะทะกันทางร่างกาย หากแต่เป็นการปะทะกันทางความเชื่อที่ต้องการให้อีกฝ่ายโยนความเชื่อและความหวังในการใช้ชีวิตของตัวเองทิ้งไป

The Dark Knight น่าจะเป็นหนังฮีโรที่มีการขับเคี่ยวทางอารมณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และหลายคนมองว่านี่คือหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโนแลนและของหนังแบทแมน   

 

3) Memento (2000)

Memento เป็นภาพยนตร์ทุนต่ำของโนแลนที่ได้รับคำชื่นชมในรูปแบบการนำเสนอเรื่องราวที่ลึกลับ ซับซ้อน และหักมุม ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร และเรียกได้ว่าเป็นหนังที่ผลักให้ คริสโตเฟอร์ โนแลน โด่งดังและกลายมาเป็นผู้กำกับชั้นแนวหน้าในเวลาต่อมา โดยสไตล์การนำเสนอเรื่องราวใน Memento เป็นวิธีการแบบที่ไม่เคยมีใครนำเสนอมาก่อน และคงไม่มีใครที่ดูหนังเรื่องนี้รอบเดียวแล้วเข้าใจ แต่ว่าหนังก็เป็นที่ชื่นชอบในวงกว้าง และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักดูหนังว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ เพราะสามารถตีความได้หลากหลาย 

ท่ามกลางความสับสนและความรุนแรงที่ปรากฎในหนัง โนแลนเล่าเรื่องได้น่าติดตามและไม่หลุดประเด็นอย่างน่าทึ่ง จนได้ชื่อว่าเป็นหนังแนวระทึกขวัญที่ดูสนุกและมีแนวทางการนำเสนอที่สดใหม่ที่สุดในรอบ 20 ปี


4) The Prestige (2006)

The Prestige เล่าเรื่องราวของนักมายากล 2 คนที่ทุ่มเททั้งชีวิตแข่งขันกันเพื่อเป็นนักมายากลที่เก่งที่สุดในศตวรรษที่ 19 หนังยังคงมีจุดเด่นที่เรื่องราวที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยปริศนาลึกลับ และเน้นการขุดคุ้ยสภาพจิตใจของตัวละครที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการแสดงมายากล แม้โดยรวมหนังจะมีบรรยากาศที่หดหู่และไม่น่าไว้วางใจ แต่โนแลนก็สามารถเล่าเรื่องราวให้น่าติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยการย้ำกับคนดูว่าสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น และหลอกล่อคนดูตลอดเวลาก่อนที่จะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์ในตอนจบ พร้อมทั้งนำเสนอความน่ากลัวของมนุษย์ที่กล้าทำได้ทุกสิ่งเพียงเพราะความหวาดกลัวที่ตัวเองจะไม่ได้เป็นที่ 1 

 

5) Inception (2010)

Inception เป็นภาพยนตร์ที่อัดแน่นด้วยความยุ่งยากทางวิทยาศาสตร์ ตัวละครที่ลึกลับมีเสน่ห์ ความซับซ้อน ดรามา และฉากแอคชันเหนือจริง ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะสามารถแบ่งแยกออกมาทำหนังได้ 3-4 เรื่อง แต่โนแลนก็สามารถผสมผสานเล่าเรื่องราวเหล่านี้ออกมาเป็นหนังเรื่องเดียวได้อย่างไม่น่าเชื่อ และดูสนุกตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการค้นคว้าและพัฒนาบทภาพยนตร์ที่กินเวลายาวนานกว่า 10 ปี ทำให้แม้ Inception จะเป็นหนังแนวไซไฟ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปในความฝันของผู้อื่นเพื่อล้วงข้อมูลและเปลี่ยนความคิด แต่ทุกคำพูดและทุกสิ่งที่ปรากฎบนภาพยนตร์มีความน่าเชื่อถือและน่าติดตามอย่างไม่น่าเชื่อ 

หนังเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 28 นาที เพราะโนแลนไม่ยอมพลาดหรือลดประเด็นที่เขาต้องการจะนำเสนอในหนังเลย แต่ก็สามารถขมวดประเด็นต่างๆที่หนังนำเสนอได้อย่างหมดจด งานสร้างด้านๆอื่นก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นงานถ่ายภาพ การตัดต่อ เทนนิคพิเศษ ทีมนักแสดง ดนตรีประกอบ ล้วนอยู่ในระดับปรมจารย์ทั้งสิ้น 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog