ทำความรู้จักกับบ้านหนองตื่น หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดมหาสารคาม ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยน จาก 'ชาวนา' กลายเป็น 'ชาวบ้านผู้รู้จักโลกกว้าง' ได้เป็นอย่างดี
รายงานพิเศษ 'Cosmopolitan Villagers : ชาวบ้านผู้รู้จักโลกกว้าง' ตอน 1
ความขัดแย้งทางการเมือง ที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ในเวลานี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกันของชนชั้นต่างๆ ในสังคมไทย จนเกิดคำพูดที่ว่า 'คนในเมืองไม่เข้าใจคนชนบท' วอยซ์ทีวีจึงขอนำเสนอเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของคนชนบทในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาตลอดสัปดาห์นี้ ซึ่งในตอนแรกเราจะไปทำความรู้จักกับบ้านหนองตื่น หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดมหาสารคาม ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยน จาก 'ชาวนา' กลายเป็น 'ชาวบ้านผู้รู้จักโลกกว้าง' ได้เป็นอย่างดี
นางนวลจันทร์ คำวิชา ชาวบ้านหนองตื่น วัย 68ปี ยังคงเก็บรักษาภาพถ่ายของหมู่บ้านไว้เป็นอย่างดี ภาพเหล่านี้ถ่ายโดยศาสตราจารย์ชาร์ลส์ เอฟ คายส์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณแห่งภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมื่อปี 2505 ในช่วงที่เค้าและครอบครัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหนองตื่นกว่า 5 ปี เพื่อศึกษาวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม เนื่องจากเห็นว่าเป็นหมู่บ้านที่มีความกันดารอีกแห่งหนึ่งของไทย
ศาสตราจารย์คายส์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา จากนั้นเข้าเป็นอาจารย์ในคณะมานุษยวิทยาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยวอชิงตันจนถึงปัจจุบัน เคยเป็นหัวหน้าศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และเป็นกองบรรณาธิการของนิตยสารวิชาการถึง 5เล่ม นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์พิเศษของศูนย์ศึกษาชาติพันธ์และการพัฒนา และศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงทำให้ศาสตราจารย์คายส์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงไทยศึกษาและมานุษยวิทยา และเขาก็สนใจความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย จึงลงพื้นที่ทำงานวิจัยที่นี่
จากภาพถ่ายของศาสตราจารย์คายส์ จะเห็นว่าสภาพบ้านเรือนส่วนใหญ่ที่บ้านหนองตื่นเมื่อกว่า 50ปีก่อน กั้นฝาบ้านด้วยไม้ มุงหญ้าคาหรือสังกะสี และยกพื้นสูงเพื่อให้ควายอยู่ใต้ถุน ส่วนถนนหนทางเป็นดินลูกรัง ชาวบ้านนิยมใช้ควายเกวียนเป็นพาหนะ แต่ปัจจุบันกลายเป็นถนนลาดยาง ทำให้การสัญจรด้วยรถสะดวกสบายมากขึ้น
มือที่หยาบกร้านของนางนวลจันทร์ สะท้อนว่าถูกใช้งานมาอย่างตรากตำ เนื่องจากอาชีพหลักของเธอและชาวบ้านหนองตื่นในอดีต คือการทำนาโดยอาศัยน้ำฝน ซึ่งทำได้เพียงปีหนึ่งครั้งเท่านั้น เพราะไม่มีระบบชลประทาน หรือลำคลองไหลผ่าน ส่วนช่วงว่างเว้นจากการทำนา ก็เก็บพืชผักและจับปลาในหนองน้ำเป็นอาหาร ชาวบ้านหนองตื่นจึงมีฐานะยากจน
แต่เมื่อภาครัฐนำไฟฟ้าและตัดถนนเข้ามาในหมู่บ้าน 'ความเจริญ' ก็ทำให้วิถีชีวิตและความคิดของชาวบ้านเปลี่ยนไป คนวัยหนุ่มเมื่อ 10-20 ปีก่อน ซึ่งทนกับความทุรกันดารไม่ไหว ต่างก็ออกไปขายแรงงานในต่างประเทศ เพื่อหาเงินก้อนมาเป็นทุนเลี้ยงครอบครัว แม้ว่าในปัจจุบันค่านิยมไปทำงานต่างประเทศจะลดลง เพราะค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงต่อก่อการถูกหลอก แต่คนหนุ่มสาวก็ยังคงทำงานหลักนอกหมู่บ้าน ส่วนคนวัยชรามีหน้าที่ดูแลลูกหลานและเฝ้าบ้าน
ผืนนาที่ไร้คนหนุ่มสาวสานต่อ ทำให้ผู้สูงอายุภายในหมู่บ้านกังวล ว่าการทำนาซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของบรรพบุรุษจะสูญหายไป เพราะในปัจจุบันเริ่มมีคนต่างถิ่นเข้ามาขอซื้อที่ดินมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูก ขณะที่คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้าน ซึ่งเรียนจบชั้นมัธยมและอุดมศึกษาก็ต้องการเข้าไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในเมือง สอดคล้องกับข้อสรุปของศาสตราจารย์ชาร์ลส์ เอฟ คายส์ ที่ระบุในงานวิจัยว่า 'ยิ่งชาวบ้านมีระดับการศึกษาสูงขึ้น ก็ยิ่งมีการอพยพออกไปจากหมู่บ้านมากขึ้น'
บ้านหนองตื่น ตั้งในหมู่ที่ 7 ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จากการสำรวจของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง พบว่า ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 บ้านหนองตื่นมีประชากร 739 คน แบ่งเป็นชาย 315 คน และหญิง 388 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 67 รองลงมาคือข้าราชการ รับจ้างแรงงาน และค้าขาย
แม้จะไม่มีการสำรวจที่ชัดเจนเกี่ยวข้อมูลด้านการศึกษา และการประกอบอาชีพของคนวัยหนุ่มสาวในหมู่บ้านหนองตื่น แต่จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ และงานวิจัยของศาสตราจารย์ชาร์ลส์ เอฟ คายส์ ก็บ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนว่า การออกมาหางานทำนอกหมู่บ้าน ทำให้ชาวหนองตื่นพบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ ส่งผลให้การดำเนินชีวิตและความคิดเปลี่ยนไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อดีตชาวนาเหล่านี้จะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ หรือระบอบการปกครองที่พวกเค้าเชื่อว่า จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น