เปิดค่ายดอยก่อวัน หนึ่งในฐานที่มั่นใหญ่ของกองกำลังกู้ชาติรัฐฉาน กลุ่มติดอาวุธที่มักถูกมองว่าเกี่ยวพันกับการค้ายาเสพติดใจกลางสามเหลี่ยมทองคำ วันนี้ ดินแดนที่เคยเป็นบ้านของขุนส่า ราชายาเสพติดโลก กลับกลายเป็นศูนย์บำบัดที่เปลี่ยนผู้ติดยาเป็นกำลังสำคัญของชาติ
ดินแดนแห่งเทือกเขาอันสลับซับซ้อนแห่งนี้ คือส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่ขึ้นชื่อด้านการผลิตยาเสพติดอันดับต้นๆของโลก และเคยเป็นถิ่นอิทธิพลของขุนส่า ราชายาเสพติดชื่อดัง แม้ปัจจุบันขุนส่าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ในแถบนี้ยังถูกยึดโยงกับการค้ายาเสพติด ตามที่ขุนส่าเคยกล่าวไว้เองว่า หากไม่ค้าฝิ่น จะเอาเงินที่ไหนมาซื้ออาวุธและเลี้ยงกองทัพ
ดอยก่อวัน หนึ่งในฐานที่มั่นใหญ่ของสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน อยู่ติดกับหมู่บ้านพญาไพร อำเภอแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ปัจจุบันที่นี่เป็นเมืองขนาดย่อม มีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล วัด โบสถ์ และหมู่บ้าน ส่วนพื้นที่ทหาร แยกออกไปเป็นส่วนหน้า
แต่ในปัจจุบัน บนยอดดอยก่อวัน ฐานที่มั่นของสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน หรือ RCSS หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา กลับกลายเป็นศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดที่ได้รับความเชื่อถือจากคนในพื้นที่ แม้จะเพิ่งเริ่มโครงการมาได้เพียง 1 ปี แต่จากผู้บำบัดชุดแรกที่มีเพียง 45 คน ล่าสุด ค่ายทหารบนยอดดอยแห่งนี้ รับผู้เข้าบำบัดเป็นรุ่นที่สามแล้ว จำนวนกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่จากเชียงตุงและท่าขี้เหล็ก แต่มีบางส่วนที่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่นลาหู่ อาข่า มูเซอ และแอน
จายเปง กรรมการฝ่ายพลเรือนของดอยก่อวัน ทำหน้าที่ดูแลบัญชีรายชื่อผู้เข้ารับการบำบัด และตรวจสอบผู้ผ่านการบำบัดแล้วไม่ให้กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก
จายเปง กำนันผู้ดูแลพื้นที่ดอยก่อวัน บอกว่าสำหรับชาวไทใหญ่ ศัตรูสำคัญ 3 อันดับแรกคือ พม่า ยาเสพติด และบริษัทจีนที่เข้ามารุกล้ำที่ดินทำกินของประชาชน เมื่อการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลเมียนมายังไม่คืบหน้า และบริษัทจีนก็มีพลังเงินและอิทธิพลยากจะต้านทาน สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการต่อต้านยาเสพติด เพราะหากวัยรุ่นไทใหญ่ติดยากันหมด อนาคตของชาติก็เท่ากับสูญสิ้น ไม่มีใครมาเป้นมันสมองและกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน หรือ RCSS หนึ่งในสามกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ แต่เดิมหลักการสำคัญของขบวนการกอบกู้รัฐฉานมีเพียง 5 ข้อ คือ ความสามัคคี อิสรภาพ ประชาธิปไตย การพัฒนาความเป็นอยู่ประชาชน และสันติภาพ แต่ในยุคของเจ้ายอดศึก ผู้นำคนปัจจุบันของ RCSS มีการเพิ่มเติมหลัก 5 ประการให้เป็น 6 ประการ โดยใส่เรื่องการปราบปรามยาเสพติดเข้าไปเป็นข้อที่ 5 โดยได้บทเรียนจากสมัยขุนส่า ที่เลี้ยงกองทัพด้วยการค้ายาเสพติด จนนำไปสู่ความล่มสลายขององค์กร
ชีวิตในค่าย
ผู้ที่เข้ารับการบำบัดที่นี่เกือบทั้งหมดเป็นวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี และเกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย มีผู้หญิงไม่ถึง 10 คน แต่ละคนมีทั้งสมัครใจมา และพ่อแม่บังคับ จนถึงคนที่อาละวาดจนถูกคนในชุมชนจับมาส่งเข้ารับการบำบัด พ่อแม่จำนวนหนึ่งเพียงต้องการกำจัดลูกที่ไร้อนาคต สร้างความอับอายให้กับวงศ์ตระกูลจากการติดยา แต่อีกบางครอบครัวยังมีความหวังว่าที่นี่จะเปลี่ยนลูกหลานของพวกเขาให้กลายเป็นคนใหม่
พื้นที่คุมขัง เป็นเรือนกักกันผู้ติดยาที่ยังอาละวาด หรือมีอาการก้าวร้าวทำร้ายคนอื่น รวมถึงผู้ที่พยายามหลบหนี
ผู้ที่ถูกกักขัง ไม่ได้ถูกขัง 24 ชั่วโมง ในช่วงกลางวันจะต้องทำงาน ออกกำลัง แต่ยังมีโซ่ตรวนล่ามไว้เพื่อกันหนี ทหารเชื่อว่าการให้เหงื่อออกมากๆ จะช่วยให้อาการอยากยาลดลง และความเหนื่อยจะทำให้ผู้บำบัดไม่ฟุ้งซ่าน นอนหลับง่ายขึ้น กินอาหารได้มากขึ้น
จุดเริ่มต้นของการฝึกคือความเด็ดขาดเข้มงวดสไตล์ทหาร ผู้ติดยาบางส่วนจะถูกขังรวมกันและล่ามโซ่ตรวนที่เท้า โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเหตุที่ต้องกักขังและใส่ตรวน เป็นเพราะผู้เข้ารับการบำบัดบางคนไม่มีสติสัมปชัญญะจากฤทธิ์ยา หรือพยายามหลบหนี แต่จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด คอยประเมินว่าอาการสงบลงพอจะปล่อยตัวและส่งไปทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นหรือไม่ บางคนอาจถูกขัง 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือนานกว่านั้น
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ติดยาจนควบคุมสติไ���่ได้ ชีวิตในค่ายบำบัดแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากการฝึกรด.มากนัก กิจวัตรทุกเช้าคือการเคารพธงชาติ ออกกำลังกาย ฝึกระเบียบวินัย จากนั้นก็เรียนหนังสือ ซึ่งมีทั้งการอ่านเขียนภาษาไทใหญ่ เพื่อให้สามารถใช้ภาษาไทใหญ่จดเนื้อหาที่ต้องเรียนต่อไปได้ ก่อนจะมีการให้ความรู้เรื่องยาเสพติด และฝึกอาชีพ
ผู้เข้ารับการบำบัดต้องวิ่งออกกำลังตอนเช้าทุกวัน เริ่มจากระยะ 1.5 กิโลเมตร ไปถึงระยะ 45 กิโลเมตรในช่วงท้ายของการบำบัด
การฝึกจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก เพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอของผู้ติดยาเสพติด ให้ค่อยๆกลับมาสมบูรณ์เต็มที่ ส่วนช่วงท้ายของการฝึกจะเน้นการทดสอบความอดทน เพื่อให้ผู้บำบัดมีพลังกายและใจพอจะต่อสู้กับความยากลำบากที่ต้องเผชิญในอนาคต
ห้องเรียนภาษาไทใหญ่ สอนโดนทหารหญิง ซึ่งเป็นทั้งครู และผู้ควบคุมการฝึก
การเรียนภาษาไทใหญ่ เป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการเข้ารับการบำบัดในค่ายแห่งนี้ เพราะที่ผ่านมา ภาษาไทใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียน เด็กๆต้องแอบเรียนตามวัด หรือที่บ้าน โดยเป็นนโยบายของรัฐบาลเมียนมาที่จะกลืนชาติ ลดความเป็นชาตินิยมในหมู่ชาวไทใหญ่ แต่การใช้ชีวิตในค่ายบำบัดแห่งนี้ ทุกคน ทุกเผ่า ต้องพูด อ่าน และเขียนเป็นภาษาไทใหญ่ ซึ่งเท่ากับเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การปลูกฝังชาตินิยมไทใหญ่ในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างชาญฉลาด
บำบัดผู้ติดยาเพื่ออนาคตใคร?
รัฐบาลเมียนมาเองก็มีศูนย์หรือค่ายบำบัดยาเสพติด แต่ส่วนใหญ่เป็นการบำบัดระยะสั้น 30-45 วัน ทำให้เมื่อผู้เข้ารับการบำบัดกลับไปสู่สังคมเดิม ก็หวนกลับไปหายาเสพติดอีก แต่ที่ค่ายแห่งนี้ การบำบัดเข้มงวดและหวังผลระยะยาว ไม่เพียงต้องการให้เด็กวัยรุ่นเหล่านี้เลิกยาเท่านั้น แต่ยังหวังให้พวกเขากลับออกไปพร้อมตัวตนใหม่ ความรู้ใหม่ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยการบำบัดในค่ายมีระยะเวลา 6 เดือน และต้องเข้ารับการตรวจปัสสาวะทุก 3 เดือนหลังพ้นจากค่ายประมาณ 1-2 ปี หากพบว่ายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาอีก ก็จะต้องถูกเก็บตัวในค่ายอีก 3-6 เดือน โดยผู้ที่พยายามหลบหนี ไม่ยอมกลับมาให้ทางค่ายตรวจปัสสาวะ จะถูกตามจับโดยทหารของ RCSS ที่อยู่ในพื้นที่
ในแต่ละวัน ผู้เข้ารับการบำบัดจะได้อาหารกินฟรี 3 มื้อ และได้เสื้อผ้าชุดทหารฟรี ทุกคนจะถูกบังคับให้ตัดผมสั้นและแต่งเครื่องแบบ เพื่อแสดงตัวว่าเป็นคนของ RCSS ป้องกันการหลบหนี
ภารกิจบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่เข้มข้นและจริงจังเช่นนี้ ใช้งบประมาณไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลข้าวปลาอาหารของคนเป็นร้อยๆ หรือการต้องแบ่งบุคลากรทางทหารมาฝึกผู้ติดยาเสพติด แต่ RCSS ยืนยันว่าค่ายบำบัดยาเสพติดจะดำเนินต่อไป ส่วนหนึ่งเพราะประชาชนที่ได้ยินข่าวคราว ต่างนำลูกหลานมาฝากรับการบำบัดกันเป็นจำนวนมาก กองทัพไม่สามารถขัดศรัทธาประชาชนได้ โดยเฉพาะเมื่อหลัก 6 ประการของ RCSS ประกาศชัดว่ามีการปราบปรามยาเสพติดเป็นหนึ่งในภารกิจหลัก
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การบำบัดยาเสพติด ไม่เพียงเป็นการปกป้องทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดของประเทศอย่างคนรุ่นใหม่ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการ "re-educate" ปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมและประวัติศาสตร์ไทใหญ่ที่รัฐบาลเมียนมากีดกันไม่ให้คนในรัฐฉานได้รับรู้มานานหลายสิบปี และยังเป็นการสร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่จงรักภักดีต่อ RCSS อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงานทางการเมืองในอนาคต เมื่อการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลและกลุ่มชาติพันธุ์ก้าวหน้าไปสู่การจัดสรรอำนาจปกครองตนเองแบบสหพันธรัฐ ตามที่นางอองซาน ซูจี เคยสัญญาไว้
นี่จึงเป็นโครงการที่คนให้และคนรับ ต่างได้รับประโยชน์โดยถ้วนหน้ากัน