ทูนกระหม่อมบริพัตร เจ้านายพระองค์สำคัญซึ่งตัดสินพระทัยเสด็จออกนอกประเทศเพื่อตัดเหตุจลาจลที่อาจเกิดขึ้นได้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์คือผู้ประทานกำเนิดวังบางขุนพรหม ที่ประทับเกือบ 30 ปี : เยี่ยมชมวัง รำลึกถึงเจ้าฟ้านักบริหารแบบอย่างของผู้อุทิศตนเพื่อชาติ
ในโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ เปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมวังบางขุนพรหมหลังปิดชั่วคราวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยการเปิดให้เยี่ยมชมครั้งล่าสุดเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 ทีมข่าว Voice TV ได้ขออนุญาตเข้าไปเก็บบรรยากาศมาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในเดือนมิถุนายน เดือนที่ตรงกับวันสำคัญและเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้
วันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือ ‘ทูนกระหม่อมบริพัตร’* ผู้ประทานกำเนิด “วังบางขุนพรหม” พระองค์ประสูติ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2424 ในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ล้นเกล้ารัชกาลที่5) และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
นอกจากนั้นในเดือนนี้ยังตรงกับครบรอบ 85 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งในเช้าวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎร ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เชิญเสด็จทูนกระหม่อมฯ ออกจากวังบางขุนพรหมไปประทับยังพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อเป็น “องค์ประกัน” ป้องกันไม่ให้เกิดการจลาจลทั่วประเทศ**
หลังจากนั้น พระองค์ตกลงพระทัยเสด็จออกจากประเทศ เพื่อทรงตัดเหตุแห่งความจลาจลวุ่นวายซึ่งอาจจะมีขึ้นได้ โดยทรงมีลายพระหัตถ์ประทานวังบางขุนพรหมให้กับรัฐบาล
ทูนกระหม่อมฯ นิราศจากพระนครไปประทับ ณ ตำหนักประเสบัน ถ.เนลันด์ ต.จีประกัน เมืองบันดุง เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย กระทั่งสิ้นพระชนม์ วันที่ 18 มกราคม 2487 ทางการไทยได้อัญเชิญพระศพพระองค์กลับประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชทานเพลิงพระศพ ที่พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2493
คุณภาณุวัฒน์ พุฒพรึก เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ผู้วิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายส่งเสริมความรู้ทางการเงิน) ได้บรรยายให้ความรู้ว่า ตัวตึกของวังบางขุนพรหมมีเรื่องราวมากมาย ถ้าเราจะโฟกัสปี 2475 เป็นฐานย้อนขึ้นไป วังแห่งนี้เป็นนิวาสสถานบ้านวังของเจ้าชายพระองค์หนึ่ง คือ จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือต้นราชสกุลบริพัตร
พระนัดดาของท่านที่เรารู้จัก ก็คือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล(หม่อมเต่า) อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งท่านเจ้าของวังเป็นตาของท่าน และอีกท่านคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นหลานปู่
ทูนกระหม่อมบริพัตร ทรงงานที่วังบางขุนพรหม ตั้งแต่ท่านทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศเยอรมันนี วิชานายร้อยทหารบก ได้ที่ 1 เกียรตินิยม เป็นความสมพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และพระมารดาของพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
ทูนกระหม่อมบริพัตร ใช้วังบางขุนพรหมเป็นที่ทรงงาน โดยหน่วยงานแรกที่พระองค์ได้รับพระบัญชาจากพระราชบิดาหรือในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทานแต่พระองค์คือ ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือ เพราะฉะนั้น ตัวตำหนัก เมื่อท่านต้องทรงงานเยอะ แน่นอนตามขนบธรรมเนียมเจ้านายไทยจะต้องมีห้องสำคัญ
ในห้องนี้คือห้องสีชมพู ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ค้นคว้าและรักษาดูแลเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นนิวาสสถานบ้านวัง ซึ่งดูแลให้คล้ายที่สุด ใกล้เคียงที่สุดกับเมื่อครั้งทูนกระหม่อมได้รับเสด็จในหลวงล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เพราะจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ จากการสัมภาษณ์ผู้หลักผู้ใหญ่รวมถึงคุณข้าหลวงที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ บอกว่า เมื่อขึ้นมาที่ตำหนักวังบางขุนพรหม ชั้น 2 ทางทิศใต้ จะพบห้องสำคัญห้องหนึ่ง ออกแบบตบแต่งด้วยโทนสีชมพู ปูพรหมเปอร์เซีย เพดานประดับด้วยโคมไฟแก้วก้านทองเหลือง 3 ช่อใหญ่ลดหลั่นกัน ที่ช่องแสงช่องลม มีลวดลายปูนปั้น ลวดลายเปลือกหอยลงสีทอง
นี่คือสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะทำงานซ่อมแซมวังบางขุนพรหม ทำการค้นคว้ารื้อฟื้น จึงได้เห็นประวัติศาสตร์ ได้รู้จักเจ้าชายพระองค์นี้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเทิดทูนพระองค์ในแง่มุมของนักบริหารแบบอย่างของผู้อุทิศตนเสียสละเพื่อชาติในเรื่องราวของการทรงงาน
ห้องสีชมพู ถ้าถามว่า ใช้รับรองใคร พระองค์แรกที่เสด็จมาสม่ำเสมอก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ฉะนั้น โทนสีชมพู คือ สีประจำวันประสูติของพระองค์คือวันอังคาร ส่วนลายประตู จะเห็นว่ามีโทนสีเขียวเพิ่มขึ้นมา รวมถึงผ้าม่าน จะเห็นว่าเป็นสีประจำวันพุธ ซึ่งก็พ้องกับวันประสูติเจ้าของวัง คือทูนกระหม่อมบริพัตร พระองค์ท่านประสูติวันพุธนั่นเอง
ฉะนั้น นัยยะของการเที่ยววัง เราสามารถสังเกตสี ที่ใช้ในแต่ละห้องได้ ซึ่งจะใช้สีในความเกี่ยวโยงกับท่านเจ้าของวังเป็นหลัก
สำหรับประวัติการใช้ห้องสีชมพู เคยได้รับรองทูตานุทูตคนสำคัญระดับโลก ระดับประเทศ อย่างในสมัยทูนกระหม่อมบริพัตร ท่านรับรองนายพลจอฟฟร์ แห่งประเทศรัสเซีย ในช่วงเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 (แม่ทัพสัมพันธมิตรสงครามโลกครั้งที่ 1) และภาพกลางห้อง จะเห็นว่าทูนกระหม่อมฉายพระรูป ซึ่งภาพนี้เป็นพระรูปวาดจากรูปถ่าย ทูนกระหม่อมประทับเคียงคู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระบิดาของพระองค์
บุคคลสำคัญที่เคยใช้ห้องสีชมพูในการทำกิจกรรมสำคัญ ในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงใช้ห้องสีชมพูแห่งนี้ ประกาศพิธีหมั้นของพระองค์
ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ในแง่มุมหนึ่งที่พระองค์สนพระทัยการบันทึกภาพยนตร์ ก็ทรงเสด็จมาวังบางขุนพรหม มีการฉายภาพยนตร์ เรียกว่าหนังบ้าน ซึ่งเกิดขึ้นที่ห้องแห่งนี้ด้วย ฉะนั้น จะเห็นว่าบรรยากาศห้องสีชมพูนั้นไม่เคยเงียบเหงา มีแขกผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาใช้งานสม่ำเสมอ
แล้วในเดือนนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเดือนสำคัญของทูนกระหม่อมบริพัตร ในวันที่ 29 มิถุนายน 2424 ย้อนไป 136 ปี คือวันประสูติของพระองค์ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้ห้องสีชมพู เป็นห้องบำเพ็ญพระกุศลถวายพระองค์ท่าน
บริบทวังบางขุนพรหม หลังการเปลี่ยนแลงการปกครองปี 2475 หลังจากนั้น 10 ปีต่อมา คือ 2475-2485 มีการใช้งานวังบางขุนพรหมเป็นหน่วยงานสำคัญของรัฐหลายๆ หน่วยงานราชการ ลำดับแรกก็จะเป็น กรมยุทธการทหารบก ประมาณ 4 ปี กรมยุวชนทหาร 4 ปี สภาศิลปวัฒนธรรม สมาคมพุทธศาสนา
ฉะนั้น บริบทก็เปลี่ยนไป ส่วนแบงก์ชาติมาใช้ในลักษณะเช่าที่ดินและตึกตั้งแต่ปี 2488 มีการโอนกรรมสิทธิ์หรือซื้อจริงๆ ประมาณปี 2504 โดยแบงก์ชาติซื้อที่ดิน บ้านและอาคารโรงเรือนในบ้านมนังคศิลา แล้วประเมินราคาเพื่อแลกที่ดินและโฉนดต้องเพิ่มราคาอีก 16 ล้านบาทโดยประมาณ จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารในวังบางขุนพรหม ซึ่งวันนี้บริบทเปลี่ยนผ่านมาหลายยุคหลายสมัยมาก
ภาพถ่ายเก่าบางภาพมีตำหนักน้ำหลายหลัง ทุกวันนี้ก็ไม่มีให้เห็นแล้ว ด้วยการใช้งานเป็นธนาคารกลาง มีการสร้างเขื่อนใหม่ มีการบริหารจัดการที่จอดรถซึ่งมากขึ้นตามวันเวลาพนักงาน
ในปีแรกที่แบงก์ชาติก่อตั้งเมื่อ 75 ปีก่อน มีพนักงานเพียง 20 คน วันนี้แบงก์ชาติสำนักงานใหญ่วังบางขุนพรหม มีพนักงานอยู่ประมาณ 2,200 คน วันนี้เราดูแลวังบางขุนพรหมไว้ 2 ตำหนัก
แบงก์ชาติเข้ามาทำงานที่ตำหนักแห่งนี้ 5 มี.ค. 2488 เป็นตึกเปล่า คือตึกที่เป็นอาคารไม่มีเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือน
ฉะนั้น อย่างห้องสีชมพู นี่คือการรีโนเวทของธนาคารกลางที่ทำงานด้านการเงินแต่ก็มีใจที่จะบริหารศิลปะวัฒนธรรมเพื่อรักษาไว้เป็นมรดกของชาติ
จะเห็นตู้ที่มีกระจกขึ้นโค้งคล้ายๆ สไตล์ตัวอาคารคือ รอคโคโค แสดงว่าเคยมีจัดแสดงเอาไว้ แต่ ณ วันที่แบงก์ชาติมาทำงานนั้นไม่มี นี่คือการรีโนเวทขึ้นมา อายุตู้ประมาณ 30 ปี
เราเจอเครื่องเรือนแบบนี้ในหลายๆ พระที่นั่ง หนึ่งในนั้นคือ พระที่นั่งบรมพิมาน จึงได้ขอเข้าไปทำสำเนาขอเข้าไปทำวิจัย จนได้เครื่องเรือนใกล้เคียงของเดิม
วังบางขุนพรม สร้างเสร็จ 2449 ใกล้เคียงกับวังลดาวัลย์ สร้างเสร็จ 2451 เฟอร์นิเจอร์ใกล้เคียงกัน ซื้อเข้ามาลงลำเรือพร้อมกัน
ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้ง 2485 แล้วย้ายมาทำการในตำหนักวังบางขุนพรหม ในลักษณะเช่ายืมที่ดินก็ประมาณ 5 มีนาคม 2488 ฉะนั้น ห้องนี้เป็นห้องหนึ่งที่เป็นที่ประชุมของธนาคาร ก็จะมีผู้หลักผู้ใหญ่ จากต่างประเทศเดินทางมาในหลายๆ วาระ และวาระที่สำคัญอีกครั้งก็คือ งานเลี้ยงสมาคมศิษย์เก่าอ็อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ หรือนักเรียนทุนพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ก็เกิดขึ้นที่วังบางขุนพรหม โดยผู้ที่เสด็จมาพระราชทานก็คือ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 8 ท่านเคยเสด็จประทับ ณ ห้องสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ถัดจากห้องสีชมพู และพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ให้เป็นเกียรติประวัติแก่แบงก์ชาติด้วย
เข้าสู่สมัยสำคัญอีกสมัยหนึ่งคือวันที่ 9 มกราคม 2536 ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ซ่อมแซมตำหนักใหญ่วังบางขุนพรหมแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์แบบ ได้กราบบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ เสด็จยังตำหนักวังบางขุนพรหมเพื่อเปิดตำหนักใหญ่แห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย และวันนี้ก็ยังจัดแสดงเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติวังบางขุนพรหม ประวัติธนาคารกลาง เรื่องราวของเงินตราซึ่งจะมีการขยายงานออกไปยังศูนย์เรียนรู้และสร้างสรรค์ด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดให้ชมวังบางขุนพรหม ล่าสุดตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2560 ต้องเรียนว่า การปรับปรุงครั้งนี้ เราได้ย้ายเนื้อหาหลักๆ ออกไป 2 เนื้อหาก่อน คือเนื้อหาเงินตราไทยและธนบัตรไทย ซึ่งจะย้ายไปอยู่ที่ที่ดินฝั่งตรงข้าม(เชิงสะพานพระราม 8) เดิมเป็นกลุ่มโรงพิมพ์ธนบัตร ปัจจุบันได้บูรณะตึก ซ่อมแซมแล้ว เก็บเครื่องจักร เก็บธนบัตรรุ่นแรกเอาไว้ ธนาคารมีแนวคิดจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้และสร้างสรรค์ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีเนื้อหาเงินตรา ธนบัตร กำเนิดโรงพิมพ์ธนบัตร และก็ห้องสมุด ซึ่งเป็นห้องสมุดมีชีวิต เกิดขึ้นที่นั่น และองค์ความรู้ด้านการเงินคือ ศคง. ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ให้มีความรู้เท่าทันทางการเงินในปัจจุบันและอนาคตด้วย
ส่วนที่นี่ ที่วังบางขุนพรหม เราเปิดวันธรรมดาจันทร์-ศุกร์ เป็นการศึกษาดูงานจากสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานภาครัฐเอกชนอยู่แล้ว(เข้าชมเป็นหมู่คณะ)
ส่วนวันเสาร์ ธนาคารมีนโยบายต้องการให้ประชาชนมารู้จักธนาคารกลางในวังบางขุนพรหม ซึ่งเนื้อหาจะอยู่ที่ชั้น 2 มีเรื่องราวของประวัติบทบาทหน้าที่การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยในวาระครบ 72 ปี ซึ่งปีนี้ครบ 75 แต่ที่นี้จะพูดถึง 72 ปีทำอะไร ส่วนครบรอบ 75 ปี จะไปอยู่ที่ศูนย์เรียนรู้และสร้างสรรค์ สำหรับวันเสาร์นับแต่เปิดให้เยี่ยมชมมีประชาชนให้ความสนใจมาเยี่ยมชมเฉพาะวันเสาร์แต่ละสัปดาห์จำนวนถึง 800-1,000 คน
ห้องสำคัญเป็นท้องพระโรงคือห้องสีชมพู ประชาชนไม่สามารถเข้ามาในห้องสีชมพูได้ แต่สามารถชื่นชมจากภายนอก โดยรอบ จะมีการเปิดประตูกระจกให้ชม ประชาชนจะเห็นห้องและรับฟังเรื่องราวการรับเสด็จเจ้านายพระองค์สำคัญ ทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 8 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9
ห้องสำคัญอีกห้องคือห้องบริพัตร ซึ่งเป็นห้องเก็บเครื่องเคลือบ งานสะสมของทูนกระหม่อมบริพัตร บางส่วนที่ธนาคารได้จัดหา หรือผู้ดูแลสำนักทรัพย์สินบริพัตร ได้ให้ยืมจัดแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระองค์ท่าน
ในห้องบริพัตร เรานำเสนอเนื้อหานิทรรศการถึงเจ้านายพระองค์นี้ เจ้าฟ้าบริพัตร แบบอย่างผู้อุทิศตน ผู้เสียสละเพื่อชาติ ทำงานเพื่อแผ่นดิน มาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ คือ 3 รัชกาล ตั้งแต่ในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ห้องบริพัตร เดิมชื่อห้องม้าสน เพราะทูนกระหม่อม ให้ช่างจีนวาดภาพต้นสนลู่ลมไว้ตามกรอบผนัง และพื้นห้อง คุณข้าหลวงหลายท่าน ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า จะปูพรหมสีน้ำเงินเต็มห้อง และปักรูปม้าสีครีมซึ่งเป็นม้าศึก จากบันทึกของพระองค์เจ้าอินทุรัตนา พระธิดาของพระองค์ ท่านเขียนว่า ทูนกระหม่อมบริพัตรทรงโปรดการขี่ม้ามาก ท่านทรงม้าได้เก่งมาก ทรงม้าปล่อยมือได้
ห้องนี้เรียกห้องม้าสน หรือ เรียกตามชื่อเครื่องเคลือบชาวจีน ห้องกิมตึ๋ง ห้องเครื่องเคลือบ แต่ตอนนี้ ธนาคารตั้งใจถ่ายทอดนิทรรศการชุดนี้ไว้ที่ห้องนี้ จึงมีพระนามท่านปรากฏ เป็นชื่อห้องบริพัตร
ห้องนี้จะมีสาแหรกราชสกุลของพระองค์ มีพระรูปหล่อด้วยวัสดุ ขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาส สัดส่วนเท่าพระองค์จริง ในช่วงพระชนมายุ 33 พรรษา ดำรงพระยศจอมพลเรือ
ประชาชนเข้ามาสักการะได้ด้วยการกราบเป็นการแสดงความเคารพ พระองค์มีพระอัจฉริยภาพด้านกองทัพเรือ จึงมีโมเดลเรือพิฆาตเสือทะยานชล ให้ประชาชนได้เยี่ยมชม
ข้าวของเครื่องใช้เครื่องเคลือบ ก็จะมีชุดสำคัญเช่น ชุดพระสุธารสชาจักรี มีหลายสี ชุดสีชมพู ลายดอกมะตูมลงสีทอง และชุดเครื่องเคลือบลายคราม พระปรมาภิไธยย่อของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 จปร เป็นต้น
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทูนกระหม่อมบริพัตร เสด็จประทับที่บันดุง ประเทศอินโดนีเซียซึ่งขณะนั้นอยู่ในการดูแลของฮอลแลนด์ เป็นเมืองตากอากาสที่สวยงาม และท่านก็สร้างตำหนักขึ้น 3 หลัง ซึ่งมีโมเดลให้ชม เป็นตำหนักเล็กๆ รูปทรงคล้ายบ้านฮอลแลนด์ หลังคาสีส้ม ชื่อว่า ประเสบัน, ปันจาระกัน, ดาหาปาตี ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็ยังเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ยังอยู่ โดยสำนักทรัพย์สินบริพัตร ขายคืนให้กับจังหวัดบันดุง บันดุงได้ใช้บ้านบางหลังเป็นโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัด เป็นร้านอาหาร ส่วนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำของพระองค์นั้น ก็คงส่งกลับมาที่นี่หมดแล้ว
เมื่อเราศึกษาจะเห็นความเป็นสุภาพบุรุษที่ทุ่มเททำงาน โดยเฉพาะในบันทึกของพระองค์เจ้าอินทุรัตนา พระธิดาของพระองค์บันทึกถึงการทรงงานหนัก นอกจากท่านดูแลกองทัพเรือ กองทัพบก ในแง่มุมของสังคม ท่านคือ อุปนายกสภากาชาดสยามพระองค์แรก ท่านผลักดันกาชาดสยามเข้าสู่กาชาดโลก
ท่านเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เป็นประธานที่ประชุมอภิรัฐมนตรี ในขณะที่ก็มีมุมที่คนในวังบอกว่า วังบางขุนพรหมไม่เคยเงียบเหงา หรือขาดเสียงดนตรีอันไพเราะเลย เพราะท่านนิพนธ์เพลงดนตรี โดยใช้โน๊ตสากล ซึ่งถ้าในแวดวงดนตรีท่านคือพระบิดาแห่งเพลงไทยสากลของคนไทย ท่านศึกษาจบจากยุโรป จากเยอรมัน ก็มีคำถามอีกว่า ท่านเรียนทหาร จัดตั้งระบบระเบียบให้กองทัพเรือ จำไมยังทรงดนตรีได้ ท่านทรงนิพนธ์โน๊ตเพลงด้วยเปียโน แล้วยังสามารถสอนอาจารย์จางวางทั่ว พาทยโกศล ให้สามารถบรรเลงเพลงที่ท่านนิพนธ์ขึ้นมาได้ ต่อเพลงได้ อย่างเพลงหนึ่งที่เป็นที่ประจักษ์ในสังคมไทย คือเพลงแขกมอญบางขุนพรหม ซึ่งมีเนื้อร้องที่ไพเราะมาก พระองค์นิพนธ์ขึ้น
“ขับลำบรรเลงเป็นเพลงเถา
เพลงมอญเก่าแสนเสนาะเพราะนักหนา
ชื่อแขกมอญบางขุนพรหม มีสมญา
ฉันได้มาแต่วังบางขุนพรหม”
สำหรับห้องบรรทมเดิมของทูนกระหม่อม อยู่ทางทิศเหนือ ชั้น 2 ปัจจุบันธนาคารกลางเลือกมาจัดแสดงเนื้อหาบทบาทหน้าที่ วิศัยทัศน์ของธนาคารกลาง ทำอะไรให้กับประเทศชาติ และในแง่เศรษฐกิจการเงิน เราได้ผ่านวิกฤตอะไรมาบ้าง
เราก็จะสรุปเนื้อหาอยู่ที่ห้องประวัติธนาคารกลาง และมีวัตถุจัดแสดง เช่น กุญแจทองคำที่ใช้เปิดสำนักงานครั้งแรก พระนามาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และเหรียญที่ระลึก เปิดสำนักงานสาขาทั้ง 3 ภาค
นอกจากนั้น มีตราประจำองค์กร ซึ่งวันที่ 10 ธ.ค. ปีนี้จะครบ 75 ปี ตราองค์นี้ยังเป็นเทพที่รักษาทุนสำรองของชาติเอาไว้ คือพระสยามเทวาธิราช ที่แบ่งภาคมาจากการปกปักรักษาประเทศสยาม ยังรักษาถุงทองทุนสำรองของชาติเอาไว้ด้วย
องค์ที่เป็นองค์ปฐมที่หล่อขึ้น ประทับนั่งที่ตราอาร์มประจำรัชกาลที่ 5 พระหัตถ์ซ้ายทรงพระแสงธารพระกรปลายดอกบัว พระหัตถ์ขวากุมถุงทองของชาติ ประดิษฐานอยู่ชั้นบนที่หอพระชั้น 3 ซึ่งปัจจุบันก็ให้เฉพาะพนักงาน ผู้บริหารเท่านั้นขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เปรียบเหมือนศูนย์รวมใจของชาวแบงก์ชาติ ส่วนประชาชนจะมาเที่ยว จะได้ชมตราประจำองค์กร ที่ชั้น 2 ของตำหนักใหญ่
อีกห้องสำคัญที่เราไม่ควรจะหลงลืม คือห้องหนังสือของวังบางขุนพรหม ซึ่งในวันนี้เป็นห้องประชุมต้อนรับผู้มาดูงานธนาคารอยู่แล้ว สิ่งที่ธนาคารค้นคว้า เราพบตู้ซึ่งบิวท์อินติดกับผนัง มีชั้นวางหนังสือสวยงาม เพียงแต่หนังสือที่อยู่ในสมัยพระองค์ ธนาคารไม่มีแล้ว เพราะตอนย้ายเข้ามา มีการเปลี่ยนแปลง
ภาณุวัฒน์ พุฒพรึก เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้บรรยาย
*ผู้เขียนใช้คำ “ทูนกระหม่อมบริพัตร” แทนคำว่า “ทูลกระหม่อมบริพัตร” ตามหนังสือ “ชีวิตและงานทูนกระหม่อมบริพัตร” (พิมพ์ปี 2544) โดย “นวรัตน์ เลขะกุล” ซึ่งระบุว่า วังบางขุนพรหมใช้ตัวสะกดเช่นนี้มาตลอดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
**“วังบางขุนพรหมภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475” ใน หนังสือที่ระลึกในการเปิดอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารแห่งประเทศไทย 12 กรกฎาคม 2525 หน้า 345 โดย “แถมสุข นุ่มนนท์”
บทความที่เกี่ยวข้อง 'ปริศนาภาพวาดใต้โดมวังบางขุนพรหม ถูกพบหลัง ‘2475’ กว่าครึ่งศตวรรษ'