เป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อครูลิลลี่ โพสต์ในเฟซบุุ๊กเกี่ยวกับความเหมาะสมในการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ในที่สาธารณะ ในทำนองว่า รักกันชอบกันไม่ผิดแต่ก็ต้องดูกาลเทศะ
จากนั้นก็กลายเป็นประเด็นในโลกโซเชียล น่าสนใจว่ากระแสของสังคมตั้งคำถามต่อการถ่ายรูปผู้อื่นมาเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย โดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่
อย่างไรก็ตาม อีกทัศนะหนึ่งได้แย้งว่า ครูลิลลี่ไมได้อะไรผิดแต่กำลังปกป้องสิทธิของคนอื่นๆที่ใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับคู่รักคู่นั้นต่างหาก
ตัวฉันเองเชื่อในการสนทนา ถกเถียง และสิ่งที่เป็นสัญญาณที่ดีมากๆในการถกเถียงครั้งนี้คือ สังคมไทยก้าวข้ามเรื่องศีลธรรมทางเพศ ไปสู่การถกเถียงเรื่อง การใช้พื้นที่สาธารณะ หรือ public space พูดอย่างเป็นธรรม ครูลิลลี่ไมได้ตำหนิการแสดงความรัก แต่กำลังตำหนิเรื่องกาลเทศะ ส่วนคนที่ตำหนิครูลิลลี่ ก็ตั้งคำถามในประเด็นที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั่นคือ สิทธิส่วนบุคคล ในการถูกบันทึกภาพและนำไปเผยแพร่
มองในแง่ความก้าวหน้าของสังคมไทยก็ถือว่ามาไกลมาก (ค่ะ โลกสวยค่ะ ปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆ)
อย่างไรก็ตาม เรื่องการแสดงความรักในที่สาธารณะนั้น ถือเป็นมารยาทสังคม ที่ค่อนข้างจริงจัง และระดับการรับได้ หรือ รับไม่ได้ ของแต่ละสังคมก็มีหลายระดับอย่างน่าที่ต้องเรียนรู้
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจว่า เรื่องการแสดงออกซึ่งความรัก สัมผัส เนื้อตัวกันนั้น ในโลกนี้ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ สังคมที่ รักนะแต่ไม่แสดงออก กับ สังคมที่แสดงความรักอย่างอบอุ่น เปิดเผย
สังคมตะวันออก จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นตัวอย่างของสังคมที่ถ้ารักแล้วต้องไม่แสดงออก เพราะแสดงออกมามากแล้วมันดูเฟก ดูปลอม ดูไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งความรักในครอบครัว ความรักระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ความรักระหว่างคนรัก ผัว เมีย ล้วนถูกแสดงออกอย่าง subtle มากๆ ว่ากันว่า การมองตากันอยู่ห่างๆ แต่ลึกซึ้ง นั่นแหละคือที่สุดของความโรแมนติก โรแมนติกกว่าการถาโถมตัวไปกอดจูบกันอย่างเทียบกันไม่ได้
ครอบครัวไทยที่ “เก่า” หน่อย เราก็จะรู้ว่า ไม่มีการสัมผัสเนื้อตัวกันสักเท่าไหร่ เช่น ครอบครัวของฉันเอง เราก็ไม่มีธรรมเนียม หอม กอด จับมือ จับไม้ แต่แสดงออกซึ่งความรักผ่านการทำอาหารให้กินหรืออะไรมากกว่าจะกอดๆ หอมๆ กัน การแสดงความรักของผัวเมียไม่ต้อง พูดถึง ระดับของความ subtle น่าจะไม่ด้อยไปกว่า จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เว้นแต่คนชั้นกลางที่ได้รับอิทธิพลของตะวันตก ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่หน่อย ก็อาจมีการแสดงออกซึ่งความรักแบบไม่เก็บงำ เช่น เกินจับมือกัน กุมมือกัน ต่อหน้าคนอื่น
และหากจะจำได้ เรามีผู้นำประเทศที่พยายามจะ encourage การแสดงออกซึ่งความรัก หรือ affection นั่นคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ออกรัฐนิยมให้ สามีจูบภรรยาก่อนออกจากบ้าน
ส่วนสังคมตะวันตก เป็นสังคมที่แสดงออกซึ่งความรัก ความรู้สึกต่างๆ ผ่านสัมผัสทางกาย ทักทายผ่านการโอบกอด แก้มแนบแก้ม แตะเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องธรรมดา เจอกันก็กอด จากกันก็กอด ปัญหาเกิดขึ้น เมื่อ 2 วัฒนธรรมที่ต่างกันนี้ต้องมาปะทะสังสันทน์กัน ดังนั้น “คู่มือ” สำหรับสิ่งที่เรียกว่า PDA หรือ Public Display of Affections – การแสดงออกซึ่งความรักในที่สาธารณะ - จึงถูกอ่านและเขียนกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องไปทำงานในต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่ต้องดูเลยว่า PDA ของประเทศนั้นๆ เป็นอย่างไร
นั่นคือ ขั้นที 1 ของ PDA คือในระดับการเข้าสังคม
แต่ยังมีขั้นที่ 2 ของ PDA คู่รัก คู่แต่งงาน คู่สามีภรรยา ชู้ กิ๊ก อะไรก็แล้วแต่ สามารถแสดงออกซึ่งความรักใคร่ สิเหน่หาต่อกันได้แค่ไหนในที่สาธารณะ
บทความจาก The spruce หัวข้อ Etiquette of Public Affection 3 มารยาทการแสดงออกทางความรักในที่สาธารณะ ให้คำแนะนำว่า PDA อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่หลากหลายจากคนรอบข้าง จากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ บรรทัดฐานทางสังคม และธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ซึ่งในทางมารยาทสังคม เราก็ควรแคร์ ไอ้ปัจจัยอะไรเหล่านี้สักนิดนึง
การจับมือ จูงมือ หอมหน้าผาก จุ๊บเร็วๆ พิงไหล่ โอบหลวมๆ – ประมาณนี้ถือเป็นการแสดงออกซึ่งความรักในที่สาธารณะที่ไม่เกินเลย และสังคมพร้อมจะชื่อบานไปกับความรักของคุณ
แต่ – อะไรที่ถือว่า มากไป ไม่เหมะสม
ประเทศที่ PDA เป็นเรื่องต้องห้าม
จีน : ห้ามในเชิง บรรทัดฐานของสังคม ไม่ผิดกฎหมาย
อินเดีย: ถือว่า PDA เป็นอาชญากรรม มีโทษ จำคุก และปรับ การแตะเนื้อต้องตัวหญิง – ชายในที่สาธารณะ เป็นเรื่องต้องห้ามโดยสิ้นเชิง
อินโดนีเซีย : ถ้าจับได้ถูกปรับ 29,000 ปอนด์ หรือจำคุก 5 ปี
ตะวันออกกลาง: PDA ถือเป็นการกระทำอนาจาร โทษจำคุก และไม่ยกเว้นนักท่องเที่ยวด้วย
มาเลเซีย : พลเมืองมาเซีย มี PDA ถือว่าผิดกม. แต่นักท่องเที่ยวสามารถจูบในที่สาธารณะได้
หลายๆประเทศในยุโรป เช่น สเปน ฝรั่งเศส ที่การแสดคววามรัก ความโรแมนติกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน การจับมือ กอด จูบ ของคู่รักบนท้องถนน และในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ไม่แปลก
ประเทศที่เป็นมิตรกับ PDA
ฝรั่งเศส – ค่อนข้างยอมรับทั้ง intimate kiss และ social kiss และการัมผัสเนื้อตัวร่างกาย
เนเธอร์แลนด์ – การกอด โอบ แสดงความรักที่ลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่คนเนเธออร์แลนด์แสดงต่อกัน แต่ intimidate kisses ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ในการสอบเพื่อรับสิทธิเป็นพลเมืองดัชท์ หนึ่งในข้อสอบที่ผู้อพยพจะได้ดูคือวิดิโอ คู่เกย์ จูบกันในที่สาธารณะเพื่อเป็นการเตรียมตัวว่า นี่คือประเทศที่ลิเบอรัล และถ้าคุณเป็นพลเมืองของประเทศนี้คุณต้องยอมรับได้
เยอรมัน – การจับมือ กอด โอบ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่การจูบแบบลึกซึ่งดื่มด่ำ
สเปน: PDA รับได้ในเมืองใหญ่ แต่ PDA ของเกย์ เลสเบี้ยน ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
เบลเยี่ยม : เห็นว่าการแสดงความรักดูดดื่มควรทำในที่ส่วนตัวมากกว่า
สวิส : PDA ค่อนข้างสามัญในแถบที่คนพูดภาษาฝรั่งเศส
อังกฤษ : จูบสั้นๆ เร็วๆ เป็นที่ยอมรับได้
อันที่จริงต้องขอบคุณครูลิลลี่ ที่ช่วยเปิดประเด็นนี้ในเมืองไทย และทำให้เราตระหนักว่า ในเมืองไทยพูดเรื่อง Etiquette หรือมารยาททางสังคมที่เป็นสากลค่อนข้างน้อย เราพูดกันแต่มารยาทไทย ไหว้สวย เคารพผู้ใหญ่ แต่ไม่ค่อยได้พูดถึงมารยาทการใช้พื้นที่สาธารณะ และสำรวจระดับความเป็นสากลว่า เราอยู่ตรงไหนในมาตรวัดสากลนั้น และมีแนวโน้มจะแยกไม่ออกระหว่างการเป็น
ว่าแต่ว่าคนอ่านบทความของ คำ ผกา เป็นแบบไหนคะ
อ้างอิง
“ครูลิลลี่”ขอโทษ บอกขอเป็นบทเรียน หลังชาวเน็ตถล่ม โพสต์ภาพคู่รัก-สอนกาลเทศะ