การเปลี่ยนแปลงของบริบททางสังคม อาจทำให้แนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่ม สนนท. ถูกตั้งคำถามเช่นกันว่า สถานะในวันนี้ จะเดินหน้าหรือถอยหลังอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงของบริบททางสังคม อาจทำให้แนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่ม สนนท. ถูกตั้งคำถามเช่นกันว่า สถานะในวันนี้ จะเดินหน้าหรือถอยหลังอย่างไร
บทบาทของนักศึกษาต่อการเมืองและสังคมไทย ที่ถดถอยลงเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ในโลก ทำให้ประเด็นการอยู่ต่อหรือยุบทิ้ง ของ สนนท. ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย ในการประชุมสมัชชาใหญ่ของ สนนท.และองค์กรเครือข่าย 30 องค์กร
หลายเหตุการณ์ใหญ่ ที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ทางการเมืองและสังคมไทย เช่นเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 2535 การร่วมต่อต้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย หรือแม้กระทั่งการชุมนุมทางการเมือง ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ชื่อของ " สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย " หรือ สนนท. มักจะเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการเหล่านี้ เพื่อร่วมขับเคลื่อนในประเด็นที่นักศึกษาสนับสนุน ซึ่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา สะท้อนได้ถึงความตื่นตัวทางการเมืองของนักศึกษาได้เป็นอย่างดี
แต่หลังยุคพฤษภาประชาธรรม สนนท. กลับมีสมาชิกลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีองค์กรเครือข่ายประมาณ 30 แห่งเท่านั้นที่ยังทำกิจกรรมร่วมกัน และมาจากนักศึกษามหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่แห่ง
ทุก 3 และ 5 ปี ในการประชุมสมัชชาใหญ่ของ สนนท. จึงมักเกิดคำถามที่ว่าสนนท. ยังจำเป็นต้องอยู่ หรือ จะยุบทิ้งไป
ตัวแทนนักศึกษาหลายคน สะท้อนมุมมองผ่านเวทีสมัชชาใหญ่ที่ผ่านมา ว่าการทำกิจกรรมนักศึกษา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเมือง จะแตกต่างจากกิจกรรมประเภทอื่น ๆ เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องเรียกร้องจากตัวเอง และอาศัยการอุทิศตนที่สูงมาก
ซึ่งในปัจจุบัน นักศึกษา มีภาระเรื่องการเรียน แบกรับความคาดหวังของผู้ปกครอง รวมทั้งอนาคตหลังจบการศึกษา เรื่องเหล่านี้ เป็นแรงกดดันที่ทำให้การอุทิศตัวเองเหมือนในอดีตเป็นไปได้ยากกว่าเดิม
และยิ่งในปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมือง ที่ทำให้เพื่อนกลายเป็นศัตรู จากประเด็นสีเสื้อเหลือง- แดง ยิ่งเป็นจุดแตกหักของสนนท. โดยเฉพาะช่วงปี 2549 - 2550 ที่สมาชิกองค์กร แบ่งเป็น 2ฝ่าย คือสนับสนุนและต่อต้านรัฐประหารอย่างชัดเจน ซึ่งท้ายที่สุด ฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร ได้ดูแลองค์กรนี้ต่อไป ขณะที่อีกฝ่าย ก็ถอนตัวออก
สถานการณ์นี้ จึงทำให้จำนวนนักศึกษาที่ทำกิจกรรมทางการเมืองลดน้อยลงอีก สวนทางกับความคาดหวังของตัวเองและสังคม
อดีตเลขาธิการ สนนท. แสดงความเห็นว่า ขระนี้เกิดคำถามทางสองแพร่งว่า การทำกิจกรรมของ สนนท. ได้ผลอะไร ระหว่างการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายอุดมคติสังคมที่ดีงาม หรือการประคับประคององค์กรด้อยประสิทธิภาพ เพราะเสียดายประวัติศาสตร์
ส่วนเขามีความเห็นว่า สนนท. ยังจำเป็นต้องมีต่อไป แต่กิจกรรมหลังจากนี้ ต้องฉีกออกจากกรอบแนวคิดเดิมที่ว่า การทำกิจกรรม ต้องเน้นที่ปริมาณคนจำนวนมาก โดยต้องเปลี่ยนไปสู่การทำกิจกรรม ที่เน้นการสร้างคุณภาพของคน และหลอมรวมกลุ่มคนเท่าที่มีอยู่ให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้น
สำหรับสมาชิกคนอื่นๆ มองว่า ส่วนสำคัญที่ต้องเปลี่ยนแปลงอีก คือโครงสร้างการบริหาร ที่รวมศูนย์มาที่คณะกรรมการ จนสมาชิกขาดการมีส่วนร่วม และกลายเป็นการปิดประตูไม่เปิดรับคนกลุ่มใหม่ที่สนใจขบวนการนักศึกษา พร้อมกับย้ำว่า สนนท. จำเป็นต้องมีอยู่ เพื่อเป็นศูนย์รวมของนักศึกษาผู้มีอุดมการณ์ ความใฝ่ฝัน และเป้าหมายเดียวกัน สู่สังคมเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ
และคำถามสำคัญต่อมาที่นักศึกษาเหล่านี้สะท้อนผ่านเวทีนี้อีกเรื่อง คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้การมีอยู่ของ สนนท.เกิดประโยชน์มากที่สุด มากกว่าคำถามที่ว่า สนนท. จะอยู่หรือยุบทิ้งไป