ไม่พบผลการค้นหา
ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบผลการศึกษาผู้บาดเจ็บที่ใช้บริการห้องฉุกเฉินในช่วงเทศกาลหยุดยาว  ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ โดยผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์มมากกว่ากฎหมายกำหนด 5 เท่า และจะเกิดอุบัติเหตุภายใน 6 ชั่วโมงหลังการดื่ม   

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบผลการศึกษาผู้บาดเจ็บที่ใช้บริการห้องฉุกเฉินในช่วงเทศกาลหยุดยาว  ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ โดยผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์มมากกว่ากฎหมายกำหนด 5 เท่า และจะเกิดอุบัติเหตุภายใน 6 ชั่วโมงหลังการดื่ม   

วันนี้(29มีนาคม2560) เวลา10.30น.ที่โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์ ในเวทีเสวนา“เสียงจากห้องฉุกเฉิน...สงกรานต์และปีใหม่กับภัยจากสุรา”จัดโดยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา(ศวส.) ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) 

ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และหัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยระบบสุขภาพและการแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า อุบัติเหตุการสูญเสียช่วง7วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปีที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุรวม3,447ครั้ง เสียชีวิต442ราย บาดเจ็บ3,656ราย เมื่อเทียบกับสงกรานต์ปี58 มีอุบัติเหตุเกิด3,373ครั้ง เสียชีวิต364ราย บาดเจ็บ3,559 ราย สาเหตุหลักเกิดจากเมาสุรา เพศชายอายุ25-49ปีเป็นกลุ่มที่ได้รับอุบัติเหตุจนเสียชีวิตและบาดเจ็บสูงสุด ยานพาหนะที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ 

“หากต้องการลดอุบัติเหตุสงกรานต์นี้ ภาคธุรกิจต้องงดกิจกรรมส่งเสริมการขายสุราในบริเวณที่มีการเล่นสาดน้ำ เช่น การจัดซุ้มขายเบียร์ สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว รัฐบาลต้องมีนโยบายให้มีการสุ่มตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ยานพาหนะกระจายตามพื้นที่ทั่วประเทศ สนับสนุนงบประมาณด้วยเพราะเท่าที่ทราบ สถานีตำรวจในหลายพื้นที่ไม่มีเครื่องมือที่ใช้ตรวจแอลกอฮอล์ในลมหายใจ และรัฐบาลควรออกกฎหมายให้ผู้ขับขี่ต้องมีระดับแอลกอฮอล์เป็น“ศูนย์” เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ใช้รถใช้ถนน และหากรัฐบาลต้องการจะใช้ ม.44 ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้สงกรานต์ปีนี้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย ควรงดการจำหน่ายสุราในช่วงวันที่13-15เม.ย.เหมือนการห้ามจำหน่ายในช่วงวันพระใหญ่” ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว 

ศ.นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ ผู้อำนวนการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า จากการศึกษาการบาดเจ็บของผู้ป่วยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และโรงพยาบาลนครพิงค์ พบว่า ผู้ป่วยที่บาดเจ็บมาห้องฉุกเฉินนั้นมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง16%ซึ่งผู้บาดเจ็บเหล่านี้มีพฤติกรรมการดื่มก่อนเกิดการบาดเจ็บภายใน6ชั่วโมง ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธ์ที่ดื่มเฉลี่ย108.3มิลลิกรัม เทียบเท่ากับการดื่มเบียร์ขวดใหญ่3.5ขวด การบาดเจ็บที่พบส่วนใหญ่กว่า40%ในช่วงเทศกาลเป็นผลมาจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น ศรีษะกระแทก บาดแผลในกะโหลกศรีษะ การบาดเจ็บของระบบอวัยะภายใน นอกจากนี้ผู้ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนได้รับบาดเจ็บ6ชั่วโมง มีโอกาสได้รับบาดเจ็บที่มีความรุนแรง2.6เท่า และเป็นการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุจราจร2.7เท่า เทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม 

นางสาวโศภิต นาสืบ นักวิจัยสำนักวิจัยนโยบายสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า จากการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการบาดเจ็บรุนแรงในช่วงปีใหม่และสงกรานต์เปรียบเทียบกับช่วงปกติ พบว่า เทศกาลหยุดยาว มีการบาดเจ็บหมู่มากกว่าช่วงเวลาปกติ10.2 %และ8.7%ส่วนใหญ่เกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ 80%และเกิดอุบัติเหตุบนถนนของอบต./หมู่บ้านมากที่สุด รองลงมา ถนนกรมทางหลวงชนบท37.9%และ 24.4%ตามลำดับ นอกจากนี้ วันหยุดยาวมีการดื่มเหล้ามากกว่าช่วงปกติถึง2เท่า และ70% ของคนที่ดื่มเป็นเยาวชน20-29ปี และ64%ได้รับบาดเจ็บขณะดื่มแล้วขับ นอกจากนี้ ยังทำให้คน ที่โดยสารที่มาด้วย68%หรือคนเดินถนน76%ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณการดื่มช่วงเทศกาลตั้งแต่ปี56-59พบว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรดื่มสุราเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องจาก108.5กรัมของเอทานอล ในปี56 เพิ่มเป็น212.9 กรัมของเอทานอล ในปี59 หรือมีอัตราการบริโภคสุราเพิ่มขึ้นถึง2เท่า ซึ่งถือเป็นปริมาณการดื่มที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ขับ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง เช่น การตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ และมีมาตรการการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว 

ศ.นพ.สงวนสิน รัตนเลิศ ศัลยแพทย์ด้านระบบประสาทและสมอง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การดื่มสุราช่วงเทศกาลก่อให้เกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งในด้านสุขภาพ สุรายังกดการทำงานของสมอง ทำให้การควบคุมยานพาหนะด้อยลงในสภาพการจราจรที่คับคั่ง สุรานอกจากทำลายเนื้อสมอง แล้วยังก่อให้เกิดความสูญเสีย ข้อมูลการศึกษาผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่มีอายุน้อยกว่า16ปี พบว่า948ราย ที่เข้ารับการรักษาในปี47ถึงปี58มาจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์43% ในจำนวนนี้34%เป็นผู้ขับขี่ที่อายุน้อยที่สุด อัตราการเสียชีวิตสูงถึง39% ในผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะชนิดรุนแรง 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
181Article
60261Video
0Blog