กระแสไม่พอใจคนขับแท็กซี่ในประเทศไทยขยายตัวอย่างกว้างขวาง หลังจากการมาถึงของ Uber ย้อนไปดูต้นกำเนิดแท็กซี่ไทยและทำความเข้าใจพวกเขาไปพร้อมๆกัน
"แก๊สหมด ส่งรถ เหมาได้ไหม? ไกลไม่ไป อ้าว!คนไทยรึน้อง" กลายเป็นคำพูดที่ผู้โดยสารได้ยินจากปากคนขับแท็กซี่ส่วนหนึ่ง ทำให้มีประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจเกี่ยวกับขนส่งประเทศไทย และยุคที่มีทางเลือกของ Sharing Economy อย่าง Uber เข้ามาในเมืองไทยทำให้รายได้ของแท็กซี่หดไปร้อยละ 30 อีกทั้งยังมีการกระทบกระทั่งระหว่างแท็กวี่กับ Uber อันมีกรมขนส่งทางบกเป็นกรรมการ อนาคตแท็กซี่ไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป เราควรมองย้อนจากอดีตเพื่อมองไปข้างหน้า
จาก "ทองพูน โคกโพ" สู่ "แท็กซี่มิเตอร์"
ทองพูน โคกโพ คือตัวละครสมมุติในภาพยนตร์ "ทองพูนโคกโพ ราษฎรเต็มขั้น"ของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือท่านมุ้ยที่ออกฉายในปี 2520 เล่าเรื่องของชีวิตหนุ่มชาวอีสานเข้ามาเผชิญโชคด้วยการขับแท็กซี่โดยการขายที่นาไปออกรถ และก็ถูกโกงเอาเปรียบแต่ทองพูนก็ลุกขึ้นทวงศักดิ์ศรีของคนจน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เสียงตอบรับดีมากแสดงนำโดย จตุพล ภูอภิรมย์ เป็น ทองพูน ได้ทั้งเงินและกล่องไปอย่างมาก
คนทั่วไปจึงติดภาพของแท็กซี่ แบบลูกอีสานเข้ามาเมืองกรุงสู้เผชิญชะตาชีวิตเพื่อเก็บเงินส่งให้ครอบครัวที่ต่างจังหวัด แต่ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ไปจริงๆ แท็กซี่แบบทองพูน คือไม่ใช่แบบมิเตอร์ต้องย้อนไปถึงปี 2490 ซึ่งก็เริ่มจากรถเรย์โนลด์ ดัทสัน และมาถึงยุคของโตโยต้ายอดนิยมในแบบที่เราเห็นกัน
ปัญหาของแท็กซี่ยุคแรกก็คือค่าป้ายทะเบียนที่มีราคาแพงทำให้เกิดปัญหาแท็กซี่ต้องวิ่งรถนานๆจนรถทรุดโทรมเพราะไม่สามารถเปลี่ยนป้ายทะเบียนได้ การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของคนขับแท็กซี่ก็คือปี 2535 โดยมีการออกกฎหมายให้รถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป ต้องติดมิเตอร์ และลดค่าจดป้ายทะเบียนแท็กซี่ลงเปลี่ยนเป็นสีเขียว-เหลือง และให้วิ่งรถได้แค่ 12 ปี ราคาเริ่มต้นที่ 35 บาท
จากระบบ "อู่-สหกรณ์แท็กซี่" สู่ Uber
สิ่งที่ตามมาก็คือเมื่อป้ายทะเบียนถูกลง เกิดระบบอู่แท็กซี่ ที่มีนายทุนไปดาวน์รถมาหลายคันและปล่อยให้เช่าโดยนำเงินค่าเช่าไปผ่อนรถ ที่มีคำติดปากในหมู่แท็กซี่ว่า "เฮียดาวน์ ลาวผ่อน" อันหมายถึงคนอีสานที่เข้ามาเสี่ยงโชคขับแท็กซี่ และก็ได้มีการรวมตัวจากอู่เป็นระบบสหกรณ์แท็กซี่ การทำวิทยุแท็กซี่เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายให้มากขึ้น
แต่อัตราค่าโดยสารของแท็กซี่มิเตอร์นั้น เรียกว่าถูกปรับน้อยครั้งมากจากปี 2535 เป็นต้นมาที่เริ่มต้นที่ 2 กิโลเมตรแรก 35 บาท ระยะทางกิโลเมตรที่ 2-3 กิโลเมตรละ 5 บาท ในปี 2539ได้มีการปรับอีกครั้งให้ระยะทางกิโลเมตรที่ 2-12 กิโลเมตรละ 4.50 บาทซึ่งเป็นอัตราที่ถูกนำมาใช้นานจนถึงปี 2551 มาเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรแรก 35.00 บาทระยะ ทางกิโลเมตรที่ 2-12 กิโลเมตรละ 5 บาท และล่าสุดในปี 2557 เป็นอัตรา มากกว่า 1 กิโลเมตร - ไม่เกิน 10 กิโลเมตรที่ 5.50บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งถ้าเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ถือว่าผ่านไปเกือบ 20 ปีมีการปรับขึ้นน้อยมาก
อีกปัญหาหนึ่งที่เจอคือแท็กซี่ล้นถนนข้อมูลล่าสุดในปี 2557 ที่มีการปรับค่ามิเตอร์ใหม่ กรุงเทพฯมีแท็กซี่ถึง108,616 คัน ซึ่งจากเคยเป็นพาหนะอำนวยความสะดวกกลายเป็นว่าจำนวนแท็กซี่มีเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นอุปสรรคในการจราจร อีกทั้งปัญหาการให้บริการแท็กซี่เองก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ข้อมูลจากสายด่วน 1584 ที่ใช้ร้องเรียนแท็กซี่ตั้งแต่เดือนตุลาคม2558-พฤษภาคม 2559 มีสถิติร้องเรียนรถแท็กซี่ 29,793 เรื่อง
5 สาเหตุหลักที่ถูกร้องเรียน คือ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ ขับรถประมาทหวาดเสียว ไม่กดมิเตอร์ ไม่ส่งผู้โดยสารตามที่ตกลงกันไว้ แต่แท็กซี่ไม่มีคู่แข่งทำให้ผู้โดยสารอยู่ในสภาพจำทน จนเมื่อเมษายน 2557 Uber ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย ซึ่งสร้างความสั่นคลอนให้กับกลุ่มผู้บริการแท็กซี่ ที่พบคู่แข่งจากเทคโนโลยี ที่ใครๆก็ขับแท็กซี่ได้
แต่ดูเหมือนกฎหมายไทยยังไม่รองรับและยังจำกัด Uber อยู่แต่ Uber ก็เดินหน้าเปิดในเชียงใหมและชลบุรีต่อไป ถึงคำถามที่ว่าแล้วแท็กซี่ไทยจะปรับตัวอย่างไร? นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร เสนอว่าถ้าหากขึ้นราคาให้ปัญหาปฏิเสธผู้โดยสารจะลดลง เพราะวิ่งแล้วจะได้คุ้ม ใช่ทางออกหรือไม่?
หรือว่าทางออกที่แท้จริง แท็กซี่น่าจะปรับปรุงบริการเมื่อในตลาดมีผู้เล่นหน้าใหม่ โดยชูจุดแข็งเช่น การรอบรู้เส้นทางเพราะขับรถเป็นอาชีพ การให้บริการที่สุภาพเป็นกันเอง และการรับผู้โดยสารทั่วๆไปมากกว่ารอชาวต่างชาติ หรือจะพึ่งแค่ช่องทางกฎหมายในการเพิ่มอำนาจผูกขาด กำจัดคู่แข่ง โดยไม่ปรับตัวต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล