ไทยยังคงมีปัญหาเรื่องการกักกันผู้อพยพชาวโรฮิงญาในศูนย์กักกันคนต่างด้าวและศูนย์พักพิงของรัฐ บางรายถูกกักเป็นเวลานานและไม่มีกำหนด โดยชาวโรฮิงญาถูกเจ้าหน้าที่ไทยปฏิบัติในฐานะผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย มากกว่าการถูกเยียวยาในฐานะผู้ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์
นับตั้งแต่มีการขุดคุ้ยเรื่องสถานการณ์เรื่องชาวโรฮิงญา ปัจจุบันเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว จนถึงขณะนี้ สิ่งที่รัฐบาลไทยพยายามแก้ไขอย่างจริงจัง คือปัญหาการค้ามนุษย์ ที่เป็นหนึ่งเหตุผลทำให้เกิดวิกฤตผู้อพยพชาวโรฮิงญา โดยปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้รับการยกระดับสถานะการค้ามนุษย์จากสหรัฐฯ จากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 และทางการไทยเองก็ได้ส่งรายงานเรื่องสถานการณ์การมนุษย์ฉบับใหม่ให้แก่สหรัฐฯไปแล้ว และจะรอการประเมินผลคร่าวๆประจำปีภายในเดือนมิถุนายนนี้
ขณะนี้ แม้การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของไทยจะรุดหน้าไปสมควร แต่ไทยยังคงมีปัญหากักกันผู้อพยพชาวโรฮิงญาในประเทศในศูนย์กักกันคนต่างด้าวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (IDC) และศูนย์พักพิงของรัฐทั่วประเทศ โดยชาวโรฮิงญาบางรายถูกกักกันเป็นเวลานานและไม่มีกำหนด ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ชาวโรฮิงญาถูกเจ้าหน้าที่ไทยปฏิบัติในฐานะผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย มากกว่าการถูกเยียวยาในฐานะผู้ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ โดยทางการไทยจะส่งชาวโรฮิงญาไปอยู่ที่ห้องกักกันที่มีอยู่หลายแห่งบริเวณชายแดนในภาคใต้และภาคอีสาน เช่น จังหวัดสงขลา พังงา ระนอง หนองคาย มุกดาหาร และอุบลราชธานี
ผู้อพยพชาวโรฮิงญาที่ถูกกักกันเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการส่งตัวไปยังประเทศที่ 3 โดยความช่วยเหลือของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยบางส่วนเตรียมถูกส่งไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ออกนโยบายกีดกันผู้อพยพและผู้ลี้ภัย อาจส่งผลกระทบทำให้จำนวนชาวโรฮิงญาที่ถูกกันกันในไทยมีมากขึ้น
อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในไทย คืออคติของคนไทยต่อชาวโรฮิงญาว่าเป็นภาระและสร้างปัญหา ซึ่งคนไทยต้องยอมรับว่า กระบวนการค้ามนุษย์ของไทย มีส่วนทำให้การอพยพของชาวโรฮิงญาจากเมียนมาและบังกลาเทศเข้ามาในไทยเกิดขึ้นเช่นกัน
สำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในอาเซียน บทบาทการแก้ปัญหาร่วมกันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก แม้จะมีการจัดประชุมเรื่องดังกล่าวหลายครั้ง เนื่องจากเมียนมา ซึ่งประเทศต้นทางยังคงปฏิเสธการกดขี่ชาวโรฮิงญาจากองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงสหประชาชาติ
หนึ่งประเทศในอาเซียน ที่สามารถเป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาเรื่องชาวโรฮิงญาได้ คือมาเลเซีย ที่แม้จะไม่ได้ลงนามสนธิสัญญาเจนีวาว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัย แต่ก็รับผู้ลี้ภัยไว้รอการส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 และมาเลเซียเพิ่งประกาศโครงการนำร่อง อนุญาตให้ชาวโรฮิงญาในมาเลเซียทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในวันที่ 1 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือต้องเป็นชาวโรฮิงญาที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR เท่านั้น