ไม่พบผลการค้นหา
​'ข้าพเจ้ามีความฝัน' หนึ่งในวลีลือลั่นของ 'มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์' ที่แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปแล้ว 49 ปี นับตั้งแต่ที่เขาถูกลอบสังหาร วันนี้ความฝันของนักสิทธิมนุษยชนอเมริกัน ยังคงตกอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่น่าจับตามองที่สุดอีกครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ

'ข้าพเจ้ามีความฝัน' หนึ่งในวลีลือลั่นของ 'มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์' ที่แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปแล้ว 49 ปี นับตั้งแต่ที่เขาถูกลอบสังหาร วันนี้ความฝันของนักสิทธิมนุษยชนอเมริกันตกอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่น่าจับตามองที่สุดอีกครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ 




เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา สหรัฐฯได้จัดงานรำลึกถึงเนื่องในวัน "มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์" เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติ ซึ่งหากยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีอายุ 88 ปี 

"ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่งประเทศนี้จะหยัดยืนขึ้นและจรรโลงความหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติทางศาสนาที่ว่า เรายึดถือความจริงเหล่านี้เป็นการยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน" ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 1963 ที่ดร.คิง ได้กล่าวสุนทรพจน์นี้ เขาเองคงไม่คาดคิดเช่นกันว่าสหรัฐฯจะเดินหน้ามาจนถึงยุคที่มีประธานาธิบดีที่มีเชื้อสายแอฟริกัน หรือกระทั่งคนผิวดำจะมีโอกาสได้นั่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนผิวขาว ไล่ตั้งแต่ในโรงละครโอเปร่า ไปจนถึงสภาครองเกรส 

อย่างน้อยที่สุด ที่ผ่านมาคำว่า "สีผิว" หรือ "เชื้อชาติ" ในสหรัฐฯ หรือประเทศต่างๆทั่วโลก ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ประหนึ่งกำแพงที่แบ่งแยกผู้คนในสังคมออกจากกันอย่างสมบูรณ์อีกต่อไป ซึ่งเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากการที่คิงไม่เคยยอมแพ้ ในหนทางของ "การต่อสู้อย่างสันติ" และนั่นก็ทำให้ชาวอเมริกันจัดให้วันเกิดของเขา เป็นอีกวันที่ควรค่าแก่การรำลึก 

อย่างไรก็ตาม ความเท่าเทียมและสิทธิเสรีภาพของชาวอเมริกัน กำลังถูกท้าทายอีกครั้ง หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และเตรียมเข้าพิธีสาบานตนในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ


ถนนสายการเมืองของมหาเศรษฐีผู้นี้ เต็มไปด้วยข้อถกเถียง ตั้งแต่ก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ และแทบจะในทันทีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ก็มีรายงานการใช้ถ้อยคำเหยียดคนผิวดำเกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ จนถึงกับมีการนำแคมเปญ 'Make America Great Again' หรือทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ไปล้อเลียนเป็น 'Make America White Again' ที่แปลว่า ทำให้อเมริกากลับมาเป็นของคนผิวขาวอีกครั้งเลยทีเดียว หรือกระทั่งยังมีรายงานความขัดแย้ง กระทบกระทั่ง เกิดขึ้นเป็นระยะ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา สมาชิกกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวผิวดำ ได้รวมตัวชุมนุมที่กรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อแสดงจุดยืนปกป้องสิทธิในการออกเสียง ท่ามกลางกระแสความกังวลว่า นายทรัมป์ อาจดำเนินนโยบายเพื่อลิดรอนสิทธิในการออกเสียงของคนกลุ่มน้อย


กลุ่มผู้ประท้วงตะโกนว่า "เมื่อไม่มีความยุติธรรม ความสงบสุขย่อมไม่บังเกิด" ขณะเดินขบวนจากสวนสาธารณะไปยังอนุสรณ์ของคิง เป็นผลสืบเนื่องจากการที่ นายจอห์น เลวิส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐจอร์เจียจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นนักต่อสู้ด้านสิทธิพลเมือง วิจารณ์ว่า การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายทรัมป์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้นายทรัมป์โต้ตอบนายเลวิสผ่านทางทวิตเตอร์ว่า เขาควรเอาเวลาไปใส่ใจ แก้ไขและช่วยเหลือเขตของตัวเอง ที่สถานการณ์เข้าขั้นเลวร้าย แทนที่จะมาติเตียนผลการเลือกตั้งแบบผิดๆ

ด้านมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่สาม ซึ่งเป็นทายาทของนักสิทธิมนุษยชน ก็ได้เข้าพบกับนายทรัมป์ที่อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ และถกเถียงถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า "เห็นได้ชัดว่าระบบเลือกตั้ง ไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด" และยังระบุอีกว่าหากพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ คงจะเป็นกังวลกับอัตราความยากจนในสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ 


ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าทรัมป์กำลังจะนำสหรัฐฯก้าวไปสู่ทิศทางที่ถูกหรือผิดกันแน่ แต่ "กำแพงทางสีผิวและเชื้อชาติ" ที่เคยถูกทลายไปแล้ว ดูมีท่าทีว่ากำลังถูกก่อร่างขึ้นมาใหม่  49 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่การเสียชีวิตของคิง แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดต้องเสียไปโดยสูญเปล่า แต่ความเท่าเทียม และความฝันที่คิงเคยเรียกร้อง กำลังน่าจับตามองว่าจะถูกนำกลับมาใส่เครื่องหมายคำถามตัวโตอีกครั้งหรือไม่ โดยชายที่มีชื่อว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" 


ภาพ: AFP 
ที่มา: New York Post

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
181Article
60261Video
0Blog